การประเมินระบบป้องกันโรค” โดย น.สพ.วิชญ ดีอำไพ นักวิชาการบริษัท CR: Elanco
การประเมินระบบป้องกันโรค” โดย น.สพ.วิชญ ดีอำไพ นักวิชาการบริษัท CR: Elanco Read More »
CPF Ai FarmLAB หนึ่งในความปรารถนาดีจาก CPF เพื่อให้ผู้ประกอบการเลี้ยงสุกรสามารถผ่านวิกฤตและความกังวลเรื่อง ASF (โรคแอฟริกันสไวน์ฟีเวอร์) ที่กำลังประชิดติดชายแดนไทยอยู่ในขณะนี้ จากข้อมูลการเกิดโรคระบาดของฟาร์มในประเทศไทยพบว่า 67% โรคเข้าฟาร์มเนื่องจากกระบวนการขาย จุดส่งสุกร (Load Out) ที่เล้าขายจึงเป็นพื้นที่เสี่ยงที่สุดที่จะเป็นทางผ่านของ ASF สู่พื้นที่เล้าขายและเนื่องจาก ASF เป็นโรคที่ติดต่อได้ผ่านการสัมผัสเท่านั้น ช่องทางที่โรคผ่านเล้าขายได้จึงเป็นเรื่องของการสัมผัสโดยตรงไม่ว่าจะเป็นพนักงานเล้าขายกับพนักงานที่มากับรถขนส่ง อุปกรณ์ที่ใช้ร่วมกันหรือแม้กระทั่งใบส่งของที่ส่งให้กัน ฯลฯ เมื่อเชื้อโรคมาถึงเล้าขายด่านต่อไปคือการเข้าสู่โรงเรือนเลี้ยง นั่นคือจุดรับสุกรสู่เล้าขาย (Load In) ซึ่งมีโอกาสเกิดการสัมผัสกันของพนักงานเล้าขายที่อาจปนเปื้อนเชื้อโรคกับพนักงานส่งสุกรจากโรงเรือนเลี้ยงสุกรและเมื่อเชื้อโรคเดินทางไปถึงโรงเรือนเลี้ยงได้เมื่อไหร่การระบาดในฟาร์มก็อาจเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา เราตั้งใจพัฒนาระบบป้องกันโรคเข้าฟาร์ม ด้วยหลักคิดจากทั้งสองเงื่อนไขที่กล่าวมาแล้วคือ ASF ติดต่อผ่านการสัมผัสเท่านั้นและเล้าขายเป็นจุดเสี่ยงที่สุดที่จะเป็นทางผ่านของโรคเข้าสู่ฟาร์ม หลักการทำงานของระบบป้องกันโรคนี้ จะมี AI (artificial intelligence) เฝ้าระวังผ่าน CCTV (ระบบการบันทึกภาพเคลื่อนไหวด้วยกล้องวงจรปิด) เพื่อป้องกันการสัมผัสที่อาจเกิดขึ้น ณ.จุดรับสุกร (Load In) และ จุดส่งสุกร (Load Out) เมื่อมีเหตุการณ์ที่อาจเปิดโอกาศให้มีการสัมผัสเกิดขึ้น AI จะทำการเตือนทันที โดยผ่าน 2 ช่องทางคือ 1. เสียง จะมีเสียงเตือน ณ.จุดที่เกิดเหตุเพื่อให้ผู้ที่ฝ่าฝืนรู้ตัวและหยุดการกระทำที่มีความเสี่ยงโดยทันที 2. Line Alert (การแจ้งเตือนผ่านระบบไลน์ที่สมาร์ทโฟน) เป็นรูปภาพส่งให้บุคคลที่กำหนดให้เป็นผู้รับรู้ในทันทีที่มีการฝ่าฝืนจุดเฝ้าระวังไม่ว่าบุคคลที่กำหนดไว้จะอยู่ที่ไหนจะรับทราบ ณ.เวลาที่เกิดการฝ่าฝืนขึ้น ผู้บริหารสามารถสั่งการอย่างเร่งด่วนเมื่อเกิดเหตุฝ่าฝืนเพื่อป้องกันโรคเข้าฟาร์มเช่นสั่งให้พนักงานที่ฝ่าฝืนออกไปจากพื้นที่ทำงานและไปผ่านกระบวนการจัดการกับบุคคลที่มีความเสี่ยงด้านการป้องกันโรคก่อนเข้าฟาร์มต่อไป นอกจากนั้นข้อมูลจะถูกบันทึกไว้ที่ Dashboard ในคอมพิวเตอร์สามารถดูได้ง่ายๆ ใช้เวลาในการตีความสั้นๆใช้ในการติดตามการฝ่าฝืนของพนักงานเล้าขาย เพื่อเห็นการเปลี่ยนแปลงของข้อมูลตลอดเวลา และสามารถดูข้อมูลย้อนหลังเป็นวัน สัปดาห์ เดือนและปีได้อีกด้วย ด้วย ความตั้งใจที่ทีมงานซีพีเอฟได้กรั่นกรองจนตกผลึกและอาศัยความเชี่ยวชาญระดับโลกด้าน AI ของ บริษัท เซอร์ทิส จำกัด ร่วมกันสรรค์สร้างซอฟต์แวร์ขึ้นมา เราคาดหวังว่าธุรกิจสุกรของประเทศไทยจะสามารถฝ่าฟันวิกฤตนี้ไปด้วยกันและพวกเราจะเป็นหนึ่งในฟาร์มที่ ASF ไม่สามารถระบาดเข้าสู่ระบบการเลี้ยงได้ นำมาซึ่งความมั่นคงในการทำธุรกิจการเลี้ยงสุกรตราบนานเท่านาน เข้าชมรายละเอียดการเปิดตัว CPF AI FarmLAB ได้โดยเข้าสู่เวปด้านล่างครับ https://techsauce.co/news/cpf-ai-farmlab-powered-by-sertis# บทความอื่นๆที่เกี่ยวข้อง https://cpffeedsolution.com/asf-protection/ CR: โค้ชวิทธ์
CPF AI FarmLAB นวัตกรรมป้องกันโรค New Technology Read More »
โรงเรือนอีแวป ระบบอินเวอร์เตอร์ ตอนนี้เราจะมาทำความเข้าใจกับเรื่องการรับและการสูญเสียความร้อนในตัวสุกร หรืออีกนัยหนึ่งคือการถ่ายเทความร้อนในโรงเรือนปิด ต้องเข้าใจพื้นฐานก่อนนะครับว่าสุกรไม่มีต่อมเหงื่อดังนั้นจะใช้ความรู้สึกของผู้เลี้ยง (คน-มนุษย์ซึ่งมีต่อมเหงื่อ) เป็นตัวตัดสินว่าสภาพแวดล้อมเหมาะสมหรือไม่เหมาะสมมิได้ ความร้อนสามารถถ่ายเทได้ด้วย 4 ปัจจัยคือ การนำความร้อน (Conduction) การระเหย (Evaporation) การแผ่รังสี (Radiation) การพาความร้อน (Convection) การนำความร้อน (มีผลต่อร่างกายสุกร 13%) การที่ร่างกายไปสัมผัสกับพื้นหรือผนังคอกที่ร้อนกว่า ทำให้ความร้อนจากพื้นคอกถ่ายเทไปยังผิวหนังจึงทำให้รู้สึกร้อน การที่ร่างกายไปสัมผัสกับพื้นหรือผนังคอกที่เย็นกว่า ทำให้ความร้อนจากผิวหนังถ่ายเทไปยังพื้นคอกจึงทำให้รู้สึกเย็น ปัจจัยที่ทำให้การนำความร้อนเกิดขึ้นได้สูง/ต่ำคือ ระดับอุณหภูมิของพื้นผิว การระเหย (มีผลต่อร่างกายสุกร 17%) การระเหยของน้ำที่อยู่บริเวณผิวหนัง เมื่อน้ำระเหยก็จะดึงดูดเอาความร้อนบริเวณผิวหนังออกไปด้วย จึงทำให้รู้สึกเย็น การระเหยจะเกิดขึ้นสูงหรือต่ำขึ้นอยู่กับความเร็วของกระแสลมและความชื้นในบรรยากาศ การแผ่รังสี (มีผลต่อร่างกายสุกร 30%) ถ้าภายนอกโรงเรือนอากาศร้อน/หนาวมาก สุกรจะได้รับผลกระทบจากอากาศร้อน/หนาวโดยที่สุกรไม่ได้สัมผัสกับอากาศโดยตรง การรับ/สูญเสียความร้อนจะเกิดขึ้นมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับวัสดุที่ผนังคอก การพาความร้อน (มีผลต่อร่างกายสุกร 40%) การเคลื่อนของกระแสลมที่พัดมากระทบกับผิวหนัง และดึงดูดความร้อนบริเวณผิวหนังออกไป ปัจจัยที่ทำให้เกิดความเย็นคือ อุณหภูมิของอากาศและความเร็วของกระแสลม โรงเรือนสุกรรูปแบบปิดที่มีการระบายอากาศแบบอุโมงค์ลม (Tunnel Ventilation) โดยนำหลักการระเหยของน้ำ (Evaporation) มาใช้ในการลดอุณหภูมิของอากาศก่อนเข้าโรงเรือน เพื่อให้เหมาะสมสำหรับการเลี้ยงสัตว์ โดยวัตถุประสงค์ที่ใช้ระบบนี้เพื่อให้สุกรอยู่สบาย (Pig Comfort) ลดความเครียดให้น้อยที่สุด ผู้ใช้โรงเรือนต้องเข้าใจว่าปัจจัยที่มีผลการแลกเปลี่ยนความร้อนในตัวสุกรสูงสุดคือการพาความร้อน (40%) แต่การพาความร้อนจะให้ผลดีที่สุดก็ต่อเมื่อมีการระเหยน้ำ (17%) เข้ามาช่วยเพราะสุกรไม่มีต่อมเหงื่อ การบริหารโรงเรือนอีแวปจึงต้องพิจารณาถึง ความชื้นและความเร็วลมเพื่อให้สามารถทำให้อุณภูมิที่สุกรรู้สึกเป็นไปตามที่สุกรต้องการและต้องไม่ลืมเรื่องค่าความสบายของสุกร (Optimal Humidity – ดูเพิ่มเติมในบทที่ 4) การแผ่รังสี (30%) ต้องพิจารณาเป็นพิเศษในขั้นตอนการสร้างโรงเรือนหรือการดัดแปลงโรงเรือนให้สุกรสามารถให้ผลผลิตสูงสุด โดยการคัดเลือกอุปกรณ์ในการก่อสร้างที่เหมาะสมเช่น ผนัง วัศดุมุงหลังคา ฝ้าเพดาน หน้าต่างและทิศทางโรงเรือนฯลฯ ให้มีผลต่อการแผ่รังสีความร้อนให้น้อยที่สุดเช่น แผ่นฉนวนไอโซวอลล์ (ISO-Wall Sandwich panel), Metal sheet การลดการแผ่รังสีอีกทางหนึ่งก็คือทำอย่างไรให้พื้นที่ทุกส่วนของโรงเรือนโดนแดดให้น้อยที่สุดหรือไม่โดนเลยยิ่งดี การนำความร้อน (13%) พิจารณาในแง่หาพื้นรองนอนเพื่อความอบอุ่นสำหรับสุกรที่อายุน้อยซึ่งต้องการอุณหภูมิที่สูงกว่าอุณหภูมิห้อง (>32 องศาเซลซัยส) บทต่อไปเราจะมาทำความเข้าใจกับการใช้ปัจจัยทั้ง 4 ตัวในการทำให้เกิด Pig Comfort ในโรงเรือน การคำนวนหาค่า % Wind Speed และการเฝ้าระวังเพื่อให้เกิด Pig Comfort ในโรงเรือน วันละ 24 ชั่วโมง ปีละ 365 วัน CR: โค้ชวิทธ์
โรงเรือนอีแวป ระบบอินเวอร์เตอร์ มีแล้วใช้ประโยชน์ให้เต็มประสิทธิภาพ ตอนที่ 6 Read More »
CPF ชูผลิตภัณฑ์รักษ์โลก บรรลุรายได้ 30% ปี 2563 เดินหน้าสร้างสมดุลสิ่งแวดล้อม มุ่งสู่ “ธุรกิจสีเขียว” 🌏💚 CPF ใส่ใจเพิ่มผลิตภัณฑ์รักษ์โลก สนับสนุนเป้าหมายรายได้สีเขียวบรรลุ 30% ภายในปี 2563 ร่วมแก้ปัญหาภาวะโลกร้อน ซึ่งรายได้สีเขียวเกิดจากผลิตภัณฑ์ที่ได้การรับรองฉลากคาร์บอนฟุตพริ้นท์และฉลากลดโลกร้อน ตามมาตรฐาน ISO 14067 จากองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์กรมหาชน) หรือ อบก. และฉลากวอเตอร์ฟุตพริ้นท์ตามมาตรฐาน ISO 14046 จากสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ปัจจุบันผลิตภัณฑ์ของบริษัทฯ กว่า 770 รายการ ประกอบด้วย ผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์บก ผลิตภัณฑ์ไก่สด ผลิตภัณฑ์อกไก่นุ่น และกลุ่มผลิตภัณฑ์เป็ดสดและเป็นปรุงสุกแช่แข็ง ผ่านการรับรองเรียบร้อยแล้ว สำหรับปี 2563 อบก. ได้มอบฉลากลดโลกร้อนให้กับผลิตภัณฑ์อาหารไก่เนื้อของ CPF 6 รายการ สามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ 77,500 ตัน คาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าในปี 2562 หรือเท่ากับการปลูกต้นไม้ 1,280,000 ต้น รวมถึงผลิตภัณฑ์ซอสพริกและซอสมะเขือเทศ 8 รายการ./ อ่านต่อ>> https://www.cpfworldwide.com/th/media-center/corporate-1456
ซีพีเอฟ คาด ตลาดผลิตภัณฑ์สีเขียวมีแนวโน้มขยายตัวสูง เน้นลดใช้พลังงานและทรัพยากร พัฒนาผลิตภัณฑ์สีเขียวต่อเนื่อง เพื่อตอบโจทย์ความต้องการผู้บริโภค ตั้งเป้าเพิ่มรายได้สีเขียว (Green Revenue) เป็น 30% ในปี 2563 นายเรวัต หทัยสัตยพงศ์ รองกรรมการผู้จัดการบริหาร ธุรกิจอาหารสัตว์บก บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ เปิดเผยว่า ซีพีเอฟ ให้ความสำคัญกับการพัฒนาผลิตภัณฑ์สีเขียว หรือ ผลิตภัณฑ์ยั่งยืนอย่างต่อเนื่อง ซึ่งการจัดทำคาร์บอนฟุตพริ้นท์ของผลิตภัณฑ์และฉลากลดโลกร้อน จะเป็นส่วนสำคัญในการบรรลุการเพิ่มสัดส่วนรายได้สีเขียวเป็น 30% ของรายได้รวมซีพีเอฟในปีนี้ แสดงให้เห็นว่ารายได้ของซีพีเอฟมาจากกลุ่มผลิตภัณฑ์สีเขียวเพิ่มขึ้นทุกปี ซึ่งผลิตภัณฑ์กลุ่มนี้เป็นสินค้าที่ช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมที่สอดคล้องกับความต้องการของผู้บริโภคทั่วโลก สำหรับกลุ่มผลิตภัณฑ์สีเขียวของบริษัทฯ เป็นสินค้าที่ได้รับการรับรองฉลากคาร์บอนฟุตพริ้นท์ ฉลากลดโลกร้อน จากองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) หรือ อบก. และฉลากวอเตอร์ฟุตพริ้นท์ตามาตรฐาน ISO 14046 จากสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) โดยซีพีเอฟมีสินค้าที่ได้รับการรับรองทั้ง 3 ประเภท จำนวน 770 รายการ สำหรับปี 2563 อบก.ได้รับรองผลิตภัณฑ์อาหารไก่เนื้อของ ซีพีเอฟ 6 รายการ ได้รับฉลากลดโลกร้อน สามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ 77,500 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าในปี 2562 หรือเท่ากับการปลูกต้นไม้ 1.28 ล้านต้น ซึ่งอาหารสัตว์ของซีพีเอฟ นอกจากจะให้ความสำคัญกับคุณค่าทางโภชนาการของสัตว์แล้ว ยังคำนึงถึงการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่เป็นสาเหตุของภาวะโลกร้อน รวมถึงผลิตภัณฑ์ซอสพริกและซอสมะเขือเทศ 8 รายการ ได้รับการรับรองฉลากคาร์บอนฟุตพริ้นท์ นอกจากนี้ อบก.ได้มอบประกาศนียบัตรคาร์บอนฟุตพริ้นท์ขององค์กรให้ซีพีเอฟ ซึ่งซีพีเอฟให้ความสำคัญกับการลดปริมาณก๊าซเรือนกระจก เพื่อให้มีการปล่อยและดูดกลับก๊าซเรือนกระจกที่เกิดขึ้นจากกิจกรรมการดำเนินงานขององค์กรทั้งการผลิตและการบริการขององค์กร ตลอดจนกิจกรรมลดก๊าซคาร์บอนไดอ๊อกไซด์ เช่น คาร์บอนนิวทรัลส่วนบุคคล (Carbon Neutral Man) บุคลากรของซีพีเอฟและเครือเจริญโภคภัณฑ์ 36 คน การชดเชยคาร์บอนในงาน Carbon Neutral Event คือ “CPF Run for Charity at Fort Adisorn 2020” การชดเชยการปล่อยคาร์บอนส่วนบุคคลไป 108 ton Co2 eq. ในปี 2563 รวมทั้งมีหน่วยงานที่ผ่านการรับรองในโครงการ Low Emission Support Scheme (LESS) ทั้งหมด 60 หน่วยงาน โดยมีการปลูกต้นไม้รวม 16,910 ต้น กักเก็บคาร์บอนไดอ๊อกไซด์ได้ 6,000 ตันคาร์บอนไดอ๊อกไซด์ เทียบเท่า ช่วยบรรเทาผลกระทบจากภาวะโลกร้อนสู่การเป็น “องค์กรคาร์บอนต่ำ” นายวุฒิชัย สิทธิปรีดานันท์ รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส ด้านความรับผิดชอบต่อสังคมและการพัฒนาอย่างยืน ซีพีเอฟ กล่าวว่า นอกจากการมีส่วนร่วมในกิจกรรมเพื่อลดผลกระทบสิ่งแวดล้อมแล้ว ซีพีเอฟยังคงเดินหน้านโยบายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในกระบวนการผลิตอย่างต่อเนื่อง เช่น จากการใช้พลังงานหมุนเวียน การลดการสูญเสียอาหารและขยะ อาหาร การเพิ่มประสิทธิภาพการใช้น้ำตลอดกระบวนการผลิต ลดการใช้บรรจุภัณฑ์พลาสติกที่ไม่จำเป็นตลอดห่วงโซ่คุณค่า รวมทั้งสนับสนุนการนำทรัพยากรทุกส่วนไปใช้ให้เกิดประโยชน์โดยไม่เหลือทิ้ง ทั้งนี้ส่งผลให้บรรลุเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในปี 2562 แล้ว 15% เทียบกับปีฐานปี 2558 ซึ่งเร็วกว่าที่กำหนดไว้เดิมในปี 2563 และเดินหน้าสู่เป้าหมาย 25% ในปี 2568 ซีพีเอฟ ยังคงดำเนินธุรกิจตามทิศทางและเป้าหมายความยั่งยืนของเครือเจริญโภคภัณฑ์ปี 2573 สู่การเป็นหนึ่งในผู้นำของโลกด้านความยั่งยืน คือ การมุ่งสู่การเป็นองค์กร Zero Waste ลดขยะและของเสียให้เป็นศูนย์ และการมุ่งสู่การเป็นองค์กร Carbon Neutral “การจัดกิจกรรมลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดอ๊อกไซด์ เพื่อรณรงค์ให้ทุกภาคส่วนมีส่วนร่วมในการลดปัญหาภาวะโลกร้อนอย่างยั่งยืน ขณะเดียวกันยังเป็นการการรณรงค์ให้สังคมตระหนักถึงความรับผิดชอบในการอนุรักษ์ธรรมชาติอย่างยั่งยืน ด้วยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคในชีวิตประจำวันและการใช้ทรัพยากรให้เกิดประโยชน์สูงสุด” นายวุฒิชัย กล่าว
ซีพีเอฟ”รุกธุรกิจสีเขียว เพิ่มสัดส่วนรายได้แตะ 30% Read More »