Logo-CPF-small-65png

cpffeed

เคล็ดไม่ลับ! ทำไมฟาร์มรุ่นใหม่ใช้เทคโนโลยีแทนแรงงานคน

ในยุคที่แรงงานขาดแคลน ค่าแรงเพิ่มขึ้น และคนรุ่นใหม่หันหลังให้กับอาชีพการเกษตร ฟาร์มแบบดั้งเดิมกำลังเผชิญความท้าทายครั้งใหญ่ คำถามสำคัญคือ…ฟาร์มยุคใหม่จะเดินหน้าต่อไปอย่างไร? คำตอบคือ: ใช้เทคโนโลยีเข้ามาทำงานแทนแรงงานคน ในบทความนี้ เราจะพาคุณไปรู้จักกับเหตุผลว่าทำไมฟาร์มยุคใหม่ทั่วโลก—including ฟาร์มสุกร, ฟาร์มไก่ไข่, และฟาร์มไก่เนื้อ—หันมาใช้ระบบอัจฉริยะและเครื่องมืออัตโนมัติเพื่อบริหารจัดการฟาร์มได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่าเดิม แรงงานขาดแคลน ปัญหาที่แก้ได้ด้วยเทคโนโลยี ปัจจุบันเกษตรกรจำนวนมากประสบปัญหาแรงงานขาดแคลน โดยเฉพาะแรงงานที่มีทักษะในการดูแลสัตว์ เทคโนโลยีจึงเข้ามาช่วยทดแทน ไม่ว่าจะเป็น: ระบบให้อาหารและน้ำอัตโนมัติ เครื่องควบคุมอุณหภูมิและความชื้น เซนเซอร์ตรวจสุขภาพสัตว์ ระบบเหล่านี้ช่วยลดความจำเป็นในการใช้แรงงานคนซ้ำ ๆ และลดข้อผิดพลาดจากมนุษย์ ทำงานแม่นยำกว่า แรงงานไม่เคยหลับ เทคโนโลยีไม่เคยเหนื่อย เครื่องจักรและระบบอัตโนมัติสามารถทำงานได้ตลอด 24 ชั่วโมง ไม่มีลาป่วย ไม่มีเหนื่อยล้า ทำให้ประสิทธิภาพโดยรวมของฟาร์มเพิ่มขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการให้อาหารตรงเวลา การควบคุมสภาพแวดล้อม หรือการตรวจจับพฤติกรรมสัตว์ที่ผิดปกติ ข้อมูลคืออาวุธของฟาร์มยุคใหม่ ด้วยระบบ IoT และคลาวด์ แพลตฟอร์ม Smart Farm สามารถรวบรวมข้อมูลแบบเรียลไทม์ เช่น: อัตราการกินอาหาร การเจริญเติบโตของสัตว์ การใช้พลังงานและน้ำในฟาร์ม ข้อมูลเหล่านี้สามารถนำไปวิเคราะห์เพื่อปรับกลยุทธ์ เพิ่มกำไร ลดต้นทุน และวางแผนการขายได้แม่นยำยิ่งขึ้น ลดต้นทุนระยะยาว คืนทุนเร็ว แม้การลงทุนในเทคโนโลยีอาจดูสูงในช่วงเริ่มต้น แต่สามารถคืนทุนได้ภายใน 1-2 ปี จากการลดต้นทุนค่าแรง ค่าการสูญเสีย และเพิ่มประสิทธิภาพในการเลี้ยงสัตว์ ฟาร์มที่ใช้เทคโนโลยีสามารถเลี้ยงสัตว์ได้มากขึ้นในพื้นที่เดิม ใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า และเพิ่มผลผลิตต่อรอบ สร้างภาพลักษณ์ที่ดี และดึงดูดนักลงทุน ฟาร์มที่ใช้เทคโนโลยีทันสมัยมีแนวโน้มได้รับความเชื่อมั่นจากผู้ซื้อ นักลงทุน และคู่ค้าทางธุรกิจมากกว่า ด้วยความโปร่งใสของข้อมูลและคุณภาพการจัดการ ฟาร์มแบบ Smart Farm ยังสามารถเชื่อมต่อกับระบบมาตรฐานความปลอดภัยอาหาร (Food Safety) ได้ง่ายขึ้น เสริมพลังคน ทำงานร่วมกับเทคโนโลยี ฟาร์มรุ่นใหม่ไม่ได้หมายถึงการลดจำนวนแรงงานทั้งหมด แต่หมายถึงการให้คนทำงานที่มีคุณค่ามากขึ้น เช่น การวิเคราะห์ข้อมูล การวางแผนธุรกิจ การดูแลสุขภาพสัตว์เชิงลึก แทนที่จะต้องใช้เวลาให้อาหารหรือทำความสะอาดโรงเรือนแบบเดิม ๆ หากคุณคือเจ้าของฟาร์มที่กำลังมองหาทางออกจากปัญหาขาดแคลนแรงงาน หรือต้องการยกระดับฟาร์มให้ทันสมัยและทำกำไรได้มากขึ้น การใช้เทคโนโลยีไม่ใช่ตัวเลือกอีกต่อไป แต่คือ “หัวใจของการอยู่รอดและเติบโต” ในยุคนี้ เริ่มต้นทีละขั้น ด้วยเครื่องมือที่เหมาะสมกับขนาดฟาร์มของคุณ แล้วคุณจะพบว่า… เทคโนโลยีไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป    

เคล็ดไม่ลับ! ทำไมฟาร์มรุ่นใหม่ใช้เทคโนโลยีแทนแรงงานคน Read More »

ซีพีเอฟ รับรองมาตรฐาน มอก.9999 ขับเคลื่อนธุรกิจอาหารสัตว์บกเติบโตอย่างยั่งยืน ด้วยหลักเศรษฐกิจพอเพียง

บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ นำหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร มาประยุกต์ใช้ในการดำเนินธุรกิจอย่างเป็นรูปธรรม โดยใช้เป็นแนวทางบริหารจัดการองค์กรให้เติบโตควบคู่กับความยั่งยืนในทุกมิติ ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม และการพัฒนาศักยภาพบุคลากรอย่างสมดุล ส่งผลให้ธุรกิจสามารถรับมือกับความเปลี่ยนแปลงได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมสร้างคุณค่าให้กับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียอย่างรอบด้าน นายจงรักษ์ โรจน์พลาเสถียร ผู้อำนวยการสถาบันรับรองไอเอสโอ (สรอ.) มอบประกาศนียบัตรรับรองมาตรฐาน มอก.9999 ให้แก่ ธุรกิจอาหารสัตว์บก ซีพีเอฟ ภายในงาน “น้อมนำเศรษฐกิจพอเพียง สู่มาตรฐานแห่งความยั่งยืน มอก.9999” จัดขึ้น ณ อาคารทรู ดิจิทัล พาร์ค กรุงเทพฯ นายเรวัติ หทัยสัตยพงศ์ ผู้อำนวยการใหญ่ ธุรกิจอาหารสัตว์บก ซีพีเอฟ เปิดเผยว่า บริษัทได้นำหลักคิด “3 ห่วง 2 เงื่อนไข” ซึ่งเป็นหัวใจของปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง โดย “3 ห่วง” คือ ความพอประมาณ ความมีเหตุผล และการมีภูมิคุ้มกัน ส่วน “2 เงื่อนไข” คือ ความรู้ และคุณธรร โดยธุรกิจอาหารสัตว์บกซีพีเอฟนำหลักคิดนี้ไปใช้จริงในโรงงานผลิตทั้ง 12 แห่งทั่วประเทศ ครอบคลุมตั้งแต่การวางแผน การผลิต การพัฒนาคน เศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม สอดคล้องกับหลัก “3 ประโยชน์สู่ความยั่งยืน” ผ่านกิจกรรมที่หลากหลาย หนึ่งในตัวอย่างที่เป็นรูปธรรม ซึ่งเชื่อมโยงปรัชญาดังกล่าวกับชีวิตพนักงาน คือโครงการ “ปลดหนี้สร้างสุขและส่งเสริมการออม” ที่สะท้อนอย่างชัดเจนถึงหลักเศรษฐกิจพอเพียง โดยโครงการฯนี้ช่วยพนักงานที่มีภาระหนี้ดอกเบี้ยสูงให้เข้าถึงสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ ควบคู่ไปกับการให้ความรู้เรื่องการบริหารจัดการการเงิน เพื่อช่วยให้พนักงานสามารถลดภาระหนี้ มีสภาพคล่องทางการเงินดีขึ้น เกิดความสุขในชีวิต ต่อเนื่องไปถึงความสุขในการทำงาน รวมถึงสร้างความมั่นคงให้กับครอบครัว ซึ่งจะส่งผลดีต่อองค์กรในภาพรวม นอกจากนี้ ทุกกลุ่มธุรกิจของซีพีเอฟ ดำเนินงานตามระบบบริหาร “ซีพีสู่ความเป็นเลิศ” (CP Excellence: CPEX) ซึ่งเป็นระบบบริหารที่เครือเจริญโภคภัณฑ์พัฒนาขึ้นจากเกณฑ์การประเมินคุณภาพระดับชาติ เพื่อบูรณาการแนวทางการบริหารจัดการธุรกิจอย่างเป็นระบบ เชื่อมโยงกับปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ทำให้บุคลากรมีความเข้าใจและดำเนินงานไปในทิศทางเดียวกัน ช่วยให้ธุรกิจมีศักยภาพในการแข่งขันระดับสากลและเติบโตอย่างยั่งยืน “ซีพีเอฟเชื่อมั่นว่า การนำมาตรฐาน มอก.9999 มาใช้ จะช่วยให้ธุรกิจของเราดำเนินงานอย่างเหมาะสม ไม่มากเกินไป ไม่น้อยเกินไป มีเหตุผลในการตัดสินใจ และจะใช้ความรู้และคุณธรรมเป็นหลักในการบริหารจัดการ เพื่อให้ธุรกิจเติบโตอย่างยั่งยืนและมั่นคง” นายเรวัติกล่าวเพิ่มเติม

ซีพีเอฟ รับรองมาตรฐาน มอก.9999 ขับเคลื่อนธุรกิจอาหารสัตว์บกเติบโตอย่างยั่งยืน ด้วยหลักเศรษฐกิจพอเพียง Read More »

เลี้ยงสุกรแบบเดิมได้แค่รอด…เลี้ยงแบบ Smart Farm รวยได้จริง

ในวันที่ต้นทุนพุ่งขึ้น แต่ราคาหมูไม่แน่นอน การเลี้ยงสุกรแบบเดิม ๆ อาจทำให้คุณแค่ “อยู่รอด” แต่ไม่ “รวย” ไม่ว่าจะใช้แรงงานหนักแค่ไหน หรือประสบการณ์ยาวนานเพียงใด หากขาดข้อมูลที่แม่นยำและระบบที่ช่วยตัดสินใจแบบมืออาชีพ ก็ยากที่จะขยับจากจุดเดิมได้ ในทางตรงกันข้าม “Smart Farm” หรือระบบฟาร์มอัจฉริยะ กำลังกลายเป็นทางเลือกใหม่ของคนรุ่นใหม่ และเจ้าของฟาร์มที่มองไกล เพราะไม่ใช่แค่ช่วยลดภาระ แต่ยังช่วยเพิ่ม “กำไร” ได้อย่างชัดเจน แล้ว Smart Farm ดีกว่าเดิมอย่างไร? บันทึกข้อมูลอัตโนมัติ ไม่ต้องจด ไม่ต้องคาดเดา ปัญหาใหญ่ของการเลี้ยงหมูแบบเดิมคือ “ไม่มีข้อมูล” หรือ “มีแต่ไม่ครบ” เช่น ไม่รู้ว่าแต่ละวันให้อาหารเท่าไร หมูโตเร็วแค่ไหน หรือใช้ต้นทุนไปเท่าไรในแต่ละรอบ สิ่งเหล่านี้ล้วนสำคัญต่อการตัดสินใจ แต่ใน Smart Farm เราสามารถติดตั้งอุปกรณ์เซนเซอร์วัดอุณหภูมิ ความชื้น อัตราการกินน้ำ กินอาหาร หรือแม้แต่ระบบติดตามน้ำหนักหมูแบบเรียลไทม์ เพื่อรวบรวมข้อมูลทั้งหมดเข้าสู่ระบบคลาวด์ และแสดงผลในแอปมือถือหรือ Dashboard ช่วยให้เจ้าของฟาร์มตัดสินใจได้ง่ายขึ้นและแม่นยำมากขึ้น ควบคุมต้นทุนได้แบบรู้ตัวทุกวัน ในอดีต คุณอาจจะรู้ว่าขายหมูได้ราคาเท่าไร แต่ไม่รู้ว่าจริง ๆ แล้ว “ต้นทุนต่อกิโลกรัม” คือเท่าไร ระบบ Smart Farm จะวิเคราะห์ต้นทุนในแต่ละวัน เช่น อาหาร ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าจ้าง แยกตามรอบการเลี้ยง และเทียบกับผลผลิตที่ได้ ทำให้รู้ทันทีว่ารอบไหนกำไร รอบไหนขาดทุน และต้องปรับอะไรให้ดีขึ้นในรอบหน้า ใช้แรงงานน้อยลง แต่ได้ผลผลิตมากขึ้น ปัญหาแรงงานขาดแคลนในภาคเกษตรไม่ใช่เรื่องใหม่ Smart Farm ช่วยลดการพึ่งพาแรงงานได้มาก เช่น ระบบให้อาหารอัตโนมัติ เครื่องให้น้ำแบบตั้งเวลา หรือแม้แต่กล้องวงจรปิดที่สามารถดูแลฟาร์มจากมือถือ แถมยังตั้งระบบแจ้งเตือนเมื่อเกิดความผิดปกติ เช่น อุณหภูมิสูงเกิน หมูไม่กินอาหาร หรือระบบน้ำมีปัญหา ทำให้เจ้าของฟาร์มไม่ต้องอยู่หน้างานตลอดเวลา แต่ยังควบคุมฟาร์มได้เหมือนเดิม (หรือดีกว่าเดิม) ขายหมูได้จังหวะที่กำไรสูงสุด ระบบ AI Predictive Weight สามารถคาดการณ์ได้ว่าหมูแต่ละตัวจะถึงน้ำหนักเป้าหมายเมื่อไร พร้อมแจ้งเตือนช่วงเวลาที่ควรขายที่สุด (Peak Profit Window) ช่วยให้เจ้าของฟาร์มไม่ต้องขายเร็วเกินหรือช้าเกิน ทั้งยังเพิ่มโอกาสได้ราคาดีในตลาด สร้างภาพลักษณ์ฟาร์มทันสมัย ดึงดูดนักลงทุนและคนรุ่นใหม่ เมื่อฟาร์มคุณมีระบบเก็บข้อมูลที่โปร่งใส ตรวจสอบได้ และมีผลลัพธ์เป็นตัวเลขจริง นักลงทุนหรือพันธมิตรธุรกิจจะมองเห็นศักยภาพของฟาร์มมากขึ้น นอกจากนี้ยังดึงดูดคนรุ่นใหม่ให้สนใจกลับมาทำเกษตร เพราะไม่ต้องใช้แรงงานหนักเหมือนสมัยก่อน และสามารถวัดผลได้จริง Smart Farm เริ่มต้นไม่ยากอย่างที่คิด หลายคนอาจคิดว่าการเปลี่ยนมาเป็น Smart Farm ต้องลงทุนหลักแสนถึงหลักล้าน แต่ความจริงแล้ว คุณสามารถเริ่มจากจุดเล็ก ๆ ก่อน เช่น ติดตั้งระบบให้อาหารอัตโนมัติ หรือเก็บข้อมูลน้ำหนักหมูด้วยเซนเซอร์ แล้วค่อยต่อยอดเพิ่มขึ้นทีละขั้นในงบประมาณที่ควบคุมได้ ไม่มีคำว่าช้าเกินไป ถ้าวันนี้คุณเริ่ม หากคุณยังเลี้ยงสุกรแบบเดิมอยู่ แล้วรู้สึกว่ากำไรไม่ขยับ รายได้ไม่แน่นอน ลองเปิดใจให้เทคโนโลยีเข้าไปเป็นผู้ช่วยในฟาร์ม เริ่มต้นเปลี่ยนทีละนิด คุณจะเห็นผลลัพธ์ที่ต่างออกไป เพราะในยุคนี้ “ความรู้และข้อมูล” คือเครื่องมือทำเงินที่ทรงพลังที่สุดเลี้ยงแบบเดิมคุณอาจแค่ “อยู่ได้”แต่ถ้าอยาก “รวยขึ้น” …Smart Farm คือคำตอบที่ใช่  

เลี้ยงสุกรแบบเดิมได้แค่รอด…เลี้ยงแบบ Smart Farm รวยได้จริง Read More »

โรคสัตว์ในช่วงฤดูฝนและวิธีการป้องกัน

ฤดูฝน นอกจากจะนำความชุ่มชื้นมาสู่ธรรมชาติแล้ว ยังเป็นฤดูที่มาพร้อมความเสี่ยงสูงต่อสุขภาพของสัตว์เลี้ยงในฟาร์ม ไม่ว่าจะเป็นความชื้นสูง น้ำขัง อุณหภูมิที่แปรปรวน หรือสภาพแวดล้อมที่เปียกชื้น ล้วนเป็นปัจจัยกระตุ้นให้เชื้อโรคต่าง ๆ เช่น แบคทีเรีย ไวรัส และปรสิตเจริญเติบโตได้ดี หากไม่ป้องกันล่วงหน้า อาจก่อให้เกิดความเสียหายต่อผลผลิตและต้นทุนของฟาร์มได้อย่างมหาศาล โรคที่พบบ่อยในช่วงฤดูฝน โรคปากและเท้าเปื่อย (FMD)พบในโค กระบือ และสุกร ทำให้สัตว์มีไข้ มีแผลในปากและเท้า ส่งผลให้สัตว์กินอาหารน้อยลง น้ำหนักลด โรคปอดบวม (Pneumonia)พบได้ในสัตว์ทุกชนิด โดยเฉพาะลูกสัตว์ เช่น ลูกสุกร ลูกไก่ ลูกวัว อุณหภูมิเปลี่ยนแปลงและความชื้นสูงเป็นปัจจัยเสี่ยง โรคอุจจาระร่วงในลูกสัตว์ (Diarrhea)โดยเฉพาะจากเชื้อแบคทีเรียหรือไวรัสในน้ำดื่มหรืออาหารที่ปนเปื้อน โรคจากพยาธิภายในและภายนอกเช่น พยาธิในลำไส้ หรือไรในไก่ ที่เจริญเติบโตได้ดีในสภาพแวดล้อมชื้น วิธีการป้องกันโรคช่วงหน้าฝน จัดการโรงเรือนให้แห้งและสะอาด ระบายน้ำได้ดี ไม่เกิดน้ำขัง พื้นไม่ลื่น ไม่เป็นโคลน ลดการสะสมของเชื้อโรค เปิดให้มีอากาศถ่ายเท ลดความชื้นสะสม ควบคุมสุขอนามัยของฟาร์ม (Biosecurity) ล้างและฆ่าเชื้ออุปกรณ์ทุกวัน ใช้รองเท้าเฉพาะในฟาร์ม หลีกเลี่ยงบุคคลภายนอกเข้าออกโดยไม่จำเป็น เสริมภูมิคุ้มกันให้สัตว์ ฉีดวัคซีนตามกำหนด เสริมวิตามินหรือสารอาหารที่ช่วยให้สัตว์แข็งแรง ตรวจสุขภาพสัตว์เป็นประจำ จัดการน้ำและอาหารอย่างระมัดระวัง เปลี่ยนน้ำดื่มบ่อย ๆ และตรวจคุณภาพน้ำ เก็บอาหารสัตว์ในที่แห้ง ป้องกันเชื้อราและความชื้น  

โรคสัตว์ในช่วงฤดูฝนและวิธีการป้องกัน Read More »

กรมปศุสัตว์บุกตรวจห้องเย็น พบซากหมูไร้ที่มา กว่า 500 กก.

   อธิบดีกรมปศุสัตว์เผย ได้สั่งการเจ้าหน้าที่ชุดปฏิบัติการพิเศษพญาไท ร่วมกับเจ้าหน้าที่กองสารวัตรและกักกัน จากสำนักงานปศุสัตว์จังหวัดนครปฐม ลงพื้นที่ตรวจสอบห้องเย็นของบริษัทแห่งหนึ่ง ในตำบลสนามจันทร์ อำเภอเมืองนครปฐม จังหวัดนครปฐม พบสินค้าบางส่วนไม่สามารถแสดงเอกสารแหล่งที่มาหรือใบเคลื่อนย้ายได้ เจ้าหน้าที่จึงได้ทำการอายัดสินค้าดังกล่าวเป็นระยะเวลา 15 วัน หากภายในกำหนดเวลาดังกล่าว เจ้าของสินค้าไม่สามารถนำเอกสารแสดงแหล่งที่มา หรือใบเคลื่อนย้ายมาแสดงต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ได้ จะดำเนินการตามมาตรา 22 แห่งพระราชบัญญัติโรคระบาดสัตว์ พ.ศ. 2558    นายสัตวแพทย์สมชวน รัตนมังคลานนท์ อธิบดีกรมปศุสัตว์กล่าว​ว่า ได้สั่งการเจ้าหน้าที่ชุดปฏิบัติการพิเศษพญาไท ร่วมกับเจ้าหน้าที่กองสารวัตรและกักกัน จากสำนักงานปศุสัตว์จังหวัดนครปฐม ลงพื้นที่ตรวจสอบห้องเย็นของบริษัทแห่งหนึ่ง ในตำบลสนามจันทร์ อำเภอเมืองนครปฐม จังหวัดนครปฐม ซึ่งห้องเย็นดังกล่าวมีความจุห้องละ 300 ตันรวมทั้งหมด 4 ห้อง โดยปัจจุบันใช้งานอยู่เพียง 2 ห้อง ภายในมีสินค้าปศุสัตว์และอาหารแปรรูปเก็บรักษาไว้ ประกอบด้วย ซากสุกร (ชิ้นส่วน เครื่องใน คากิ) จำนวน 108,267 กิโลกรัม สินค้าประมง (ปลาทู ปูม้า) จำนวน 50,000 กิโลกรัม และสินค้าแปรรูป (ไก่ปรุงสุก) จำนวน 5,000 กิโลกรัม      จากการตรวจสอบพบว่า ส่วนใหญ่มีเอกสารใบอนุญาตค้าซากสัตว์และใบอนุญาตเคลื่อนย้ายถูกต้อง แต่พบสินค้าบางส่วน ได้แก่ ตับสุกรแช่แข็ง จำนวน 250 กิโลกรัม และสามชั้นสุกรแช่แข็ง จำนวน 262 กิโลกรัม ไม่สามารถแสดงเอกสารแหล่งที่มาหรือใบเคลื่อนย้ายได้ เพื่อควบคุมความปลอดภัยด้านสาธารณสุขและป้องกันการแพร่ระบาดของโรค เจ้าหน้าที่จึงได้ทำการอายัดสินค้าดังกล่าวเป็นระยะเวลา 15 วัน โดยเก็บรักษาไว้ที่ห้องเย็นเดิม หากภายในกำหนดเวลาดังกล่าว เจ้าของสินค้าไม่สามารถนำเอกสารแสดงแหล่งที่มา หรือใบเคลื่อนย้ายมาแสดงต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ได้ จะดำเนินการตามมาตรา 22 แห่งพระราชบัญญัติโรคระบาดสัตว์ พ.ศ. 2558 เนื่องจากจังหวัดนครปฐมอยู่ในพื้นที่ประกาศเฝ้าระวังโรคระบาดอหิวาต์แอฟริกาในสุกร การกระทำดังกล่าวอาจเข้าข่ายฝ่าฝืนกฎหมาย มีโทษตามมาตรา 65 ของ พ.ร.บ. ดังกล่าว ซึ่งระบุโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ     อธิบดีกรมปศุสัตว์ กล่าวว่าเพิ่มเติมว่า การปฏิบัติการครั้งนี้ เป็นไปตามนโยบายของ ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตร และสหกรณ์ รวมทั้งนายอิทธิ ศิริลัทยากร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ที่ให้ความสำคัญต่อการควบคุมคุณภาพสินค้าปศุสัตว์ เพื่อความปลอดภัยของผู้บริโภคผลิตภัณฑ์จากสัตว์ หากพบการกระทำผิด กรมปศุสัตว์จะดำเนินการตามกฎหมายอย่างเด็ดขาด หากประชาชนพบเห็นการกระทำผิดโปรดแจ้งเบาะแสหรือข้อมูลเพิ่มเติม โดยสามารถแจ้งได้ที่แอปพลิเคชัน DLD 4.0 ได้ตลอดเวลา 24 ชั่วโมง เพื่อให้เจ้าหน้าที่สามารถเข้าตรวจสอบการกระทำความผิดและดำเนินการตามกฎหมายได้อย่างทันท่วงที./  

กรมปศุสัตว์บุกตรวจห้องเย็น พบซากหมูไร้ที่มา กว่า 500 กก. Read More »

เตือน! ระวังโรคแอนแทรกซ์ หลังพบผู้ป่วยรายแรกที่มุกดาหาร

  กรมปศุสัตว์ พบผู้ป่วยโรคแอนแทรกซ์ที่มุกดาหาร 1 ราย มีประวัติกินเนื้อโคดิบ เร่งเก็บตัวอย่างส่งตรวจหาเชื้อที่ศูนย์วิจัยและและพัฒนาการสัตวแพทย์ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน จังหวัดขอนแก่น เพื่อเฝ้าระวังป้องกันโรคแอนแทรกซ์ในโค กระบือ แพะ แกะ ย้ำในขณะนี้ยังไม่พบสัตว์ป่วยตายผิดปกติในพื้นที่   นายสัตวแพทย์บุญญกฤช ปิ่นประสงค์ รองอธิบดีกรมปศุสัตว์ กล่าวว่า ในขณะนี้พบรายงานผู้ป่วยยืนยันโรคแอนแทรกซ์ที่อำเภอดอนตาล จังหวัดมุกดาหาร โดยผู้ป่วยรายดังกล่าวได้เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลดอนตาล และย้ายมารักษาที่โรงพยาบาลมุกดาหาร ด้วยอาการมีแผลที่มือขวา ต่อมน้ำเหลืองโตที่รักแร้ขวา ผู้ป่วยมีประวัติชำแหละและรับประทานเนื้อโคดิบ โดยแพทย์วินิจฉัยเบื้องต้น คือ septic shock  และต่อมา ได้รับผลทางห้องปฏิบัติการรายงานผลการตรวจวิเคราะห์จากสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์สาธารณสุข  กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข ยืนยันตรวจพบเชื้อแบคทีเรีย (Bacillus anthracis) ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคแอนแทรกซ์ โรคแอนแทรกซ์ (Anthrax) เป็นโรคติดต่อระหว่างสัตว์และคน โดยโรคนี้มีสาเหตุจากเชื้อแบคทีเรีย (Bacillus anthracis)  สัตว์ที่เป็นโรคนี้ส่วนใหญ่เกิดจากการหายใจเอาสปอร์ของเชื้อแบคทีเรียที่ปนเปื้อนอยู่ในดินหรือหญ้าเข้าสู่ร่างกาย หรือจากการกินน้ำและอาหารที่มีเชื้อปะปนเข้าไป เมื่อเชื้อเข้าตัวสัตว์จะเพิ่มจำนวนมากขึ้น พร้อมสร้างสารพิษทำให้สัตว์ป่วยและตายในที่สุด ในระหว่างสัตว์ป่วยเชื้อถูกขับออกมากับอุจจาระปัสสาวะหรือน้ำนม เมื่อทำการเปิดผ่าซากเชื้อสัมผัสกับอากาศจะสร้างสปอร์ทำให้คงทนในสภาพแวดล้อมได้นาน โค กระบือ แพะ แกะ ที่ป่วยมีอาการแบบเฉียบพลัน คือ สัตว์ป่วยจะตายอย่างรวดเร็ว มีเลือดสีดำคล้ำไหลออกตามทวารต่างๆ ซากไม่แข็งตัว สำหรับคนที่ทำการผ่าซากหรือบริโภคเนื้อสัตว์ป่วยด้วยโรคนี้ แบบสุกๆ ดิบๆ จะพบแผลหลุมตามนิ้วมือ แขน หรือช่องปาก และมีอาการเจ็บปวดในช่องท้องโรคนี้ทำให้คนตายได้หากตรวจพบโรคช้า สถานการณ์ ณ ปัจจุบันจากการเฝ้าระวังและค้นหาโรค ยังไม่พบสัตว์ป่วยตายผิดปกติในพื้นที่ โดยกรมปศุสัตว์ได้ดำเนินการเก็บตัวอย่าง ได้แก่ เนื้อแห้ง หนังแห้งของสุกรและโค เนื้อสัตว์และเลือดที่อยู่บนเขียงที่ใช้ในการชําแหละ อุจจาระโคเพื่อส่งตรวจหาเชื้อที่ศูนย์วิจัยและและพัฒนาการสัตวแพทย์ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน จังหวัดขอนแก่น ทั้งนี้ กรมปศุสัตว์ได้ดำเนินมาตรการควบคุมโรคแอนแทรกซ์ในสัตว์ที่จังหวัดมุกดาหาร โดยมีแนวทางดังนี้ 1. กักและสังเกตอาการสัตว์ภายในฝูง ร่วมกับฉีดยาปฏิชีวนะกลุ่ม penicillin อย่างน้อย 3-5 วัน 2. ขอความร่วมมือห้ามเคลื่อนย้ายสัตว์เข้าออกในพื้นที่ 3. งดนำโคไปเลี้ยงในพื้นที่แปลงหญ้า / แหล่งน้ำ หรือบริเวณที่สงสัย 4. ฉีดวัคซีนป้องกันโรคแอนแทรกซ์ในสัตว์ภายในตำบล 5. การทำลายเชื้อด้วยโซดาไฟในพื้นที่ชำแหละสัตว์ 3 จุด ได้แก่ บ้านเหล่าหมี 2 จุด และบ้านโคกสว่าง 1 จุด ทั้งนี้ ให้ทำลายเชื้อบริเวณจุดเสี่ยงที่สำคัญ เช่น ที่เชือด ท่อน้ำทิ้ง โดยเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานแต่งกายให้รัดกุม โดยการใส่ชุดป้องกันโรค มาส์กและถุงมือ 6. เฝ้าระวังและเก็บตัวอย่างในสิ่งแวดล้อมเพิ่มเติม เช่น ดินบริเวณคอกสัตว์ เพื่อตรวจหาการปนเปื้อนเชื้อ 7. ดำเนินการเฝ้าระวังสัตว์ป่วยในพื้นที่อำเภอดอนตาล 8. ประชาสัมพันธ์เตือนภัยให้เกษตรกรให้สังเกตอาการสัตว์เลี้ยง โดยมีนิยาม คือ โค กระบือ แพะ แกะตายเฉียบพลัน เลือดไหลออกจากปาก จมูก ทวารหนัก เลือดมีลักษณะไม่แข็งตัว หากพบมีอาการดังกล่าว ให้รีบแจ้งเจ้าหน้าที่ปศุสัตว์ทันที และมีการเฝ้าระวังโรคร่วมกับหน่วยงานสาธารณสุขในพื้นที่ 9. เน้นประชาสัมพันธ์ให้ประชาชน งดบริโภคเนื้อดิบ รองอธิบดีกรมปศุสัตว์ กล่าวทิ้งท้ายว่า ขอความร่วมมือเกษตรกรผู้เลี้ยงโค กระบือ แพะแกะ หากพบสัตว์แสดงอาการป่วยหรือตายผิดปกติโดยไม่ทราบสาเหตุแบบเฉียบพลัน ห้ามเปิดผ่าซาก ห้ามเคลื่อนย้ายซากหรือชำแหละเพื่อการบริโภค ให้รีบแจ้งเจ้าหน้าที่ปศุสัตว์ อาสาปศุสัตว์ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน หรือเจ้าหน้าที่องค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) ในพื้นที่ หรือ ผ่านทาง Application DLD 4.0 หรือโทรศัพท์สายด่วน 063-225-6888 เพื่อให้การช่วยเหลือเกษตรกรได้อย่างทันท่วงที

เตือน! ระวังโรคแอนแทรกซ์ หลังพบผู้ป่วยรายแรกที่มุกดาหาร Read More »

ระบบบริหารจัดการฟาร์มสุกรแบบครบวงจรด้วยเทคโนโลยี AI และ IoT

  ระบบบริหารจัดการฟาร์มสุกรแบบครบวงจรคิดค้นและพัฒนาขึ้นโดยทีม GATI ซึ่งมีการผสมผสาน 3 เทคโนโลยีเข้าด้วยกัน ประกอบด้วย AI, IoT, และ Automation โดยเรามอบคุณค่าทาง ESG ให้ ทั้งในด้านการประหยัดพลังงาน ลดการใช้ยาปฏิชีวนะและสร้างความโปร่งใสให้กับคู่ค้า โดยจะมีการติดตั้งกล้องวงจรปิดไว้ประจำทุกคอก และรับข้อมูลเสียงเข้ามาประมวลผลและส่งออกไปในลักษณะของรายงานการแจ้งเตือนระดับการไอ ผ่าน Line Notify เพื่อให้เกษตรกรรับรู้และแก้ปัญหาได้อย่างทันท่วงที อีกทั้งยังมีระบบควบคุมสภาพแวดล้อมภายในโรงเรือน ที่สามารถดูรายงานค่าต่างๆ ที่มีความสำคัญต่อการจัดการสภาพแวดล้อมภายในโรงเรือนได้ จุดเด่น: ลดอัตราการตาย สุกรโตเร็ว ใส่ใจสุกร ประหยัดไฟ ประหยัดน้ำ ประโยชน์ต่ออุตสาหกรรมเกษตร เพิ่มประสิทธิภาพการผลิต– ระบบติดตามสุขภาพสุกรแบบเรียลไทม์ ช่วยให้เกษตรกรสามารถติดตามสุขภาพสัตว์ของตนได้อย่างใกล้ชิด– การแจ้งเตือนสัญญาณอันตรายเมื่อสัตว์แสดงอาการป่วย– แยกสัตว์ป่วยออกจากฝูงได้รวดเร็ว ช่วยป้องกันการระบาดของโรค– ลดอัตราการตาย ส่งผลดีต่อผลผลิตโดยรวม– ระบบควบคุมสภาพแวดล้อมอัตโนมัติ: ปรับอุณหภูมิ ความชื้น และความเร็วลมให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม ส่งผลดีต่อสุขภาพและความเป็นอยู่ของสัตว์ ส่งผลดีต่อคุณภาพของผลิตภัณฑ์ ลดต้นทุนการผลิต– ลดอัตราการตาย ประหยัดค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงดูและรักษาพยาบาลสัตว์– ลดค่าใช้จ่ายด้านพลังงาน ระบบควบคุมสภาพแวดล้อมอัตโนมัติช่วยประหยัดพลังงาน– ลดค่าแรงงาน ระบบอัตโนมัติช่วยลดงานที่ต้องใช้แรงงานคน เพิ่มคุณภาพของผลิตภัณฑ์– เนื้อสัตว์ปลอดภัย การติดตามสุขภาพและป้องกันโรค ช่วยให้ได้เนื้อสัตว์ที่ปลอดภัย– เนื้อสัตว์มีคุณภาพดี: สัตว์ที่มีสุขภาพดีจะให้เนื้อสัตว์ที่มีคุณภาพดีเพิ่มความยั่งยืน– ลดการใช้ยาปฏิชีวนะ การติดตามสุขภาพและป้องกันโรค ช่วยลดความจำเป็นในการใช้ยาปฏิชีวนะ– ลดมลพิษทางสิ่งแวดล้อม ลดการใช้ยาปฏิชีวนะ และการจัดการฟาร์มที่มีประสิทธิภาพ ช่วยลดมลพิษทางสิ่งแวดล้อมเพิ่มโอกาสทางธุรกิจ– วิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึก ข้อมูลสุขภาพของสัตว์สามารถนำมาวิเคราะห์เพื่อหาแนวทางปรับปรุงการเลี้ยง– เข้าถึงตลาดใหม่ เนื้อสัตว์ที่มีคุณภาพและปลอดภัย สามารถจำหน่ายในตลาดที่มีราคาสูง ระบบบริหารจัดการฟาร์มสุกรแบบครบวงจรด้วยเทคโนโลยี AI & IoT ช่วยให้เกษตรกรสามารถเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ลดต้นทุน เพิ่มคุณภาพผลิตภัณฑ์ เพิ่มความยั่งยืน และเพิ่มโอกาสทางธุรกิจ

ระบบบริหารจัดการฟาร์มสุกรแบบครบวงจรด้วยเทคโนโลยี AI และ IoT Read More »

มาตรฐาน GAP สำหรับผู้เลี้ยงสุกร: แนวทางสู่การผลิตที่ปลอดภัยและยั่งยืน

มาตรฐาน GAP สำหรับผู้เลี้ยงสุกร: แนวทางสู่การผลิตที่ปลอดภัยและยั่งยืน การเลี้ยงสุกรในยุคปัจจุบันต้องเผชิญกับความท้าทายที่หลากหลาย ทั้งในด้านสุขภาพของสัตว์และผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งมาตรฐาน GAP (Good Agricultural Practices) หรือแนวทางปฏิบัติที่ดีในการเกษตร ถือเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้ผู้เลี้ยงสุกรสามารถปรับปรุงคุณภาพและความปลอดภัยในการผลิตได้อย่างยั่งยืน 1. การจัดการสิ่งแวดล้อมและสุขอนามัย หนึ่งในองค์ประกอบสำคัญของมาตรฐาน GAP คือการดูแลสิ่งแวดล้อมในฟาร์ม การบริหารจัดการของเสียและการรักษาความสะอาดของพื้นที่เลี้ยงสุกรเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อลดการแพร่กระจายของโรคและกลิ่นที่อาจส่งผลกระทบต่อชุมชนโดยรอบ ผู้เลี้ยงควรมีระบบการจัดเก็บและกำจัดของเสียที่เหมาะสม เช่น การใช้เทคโนโลยีชีวภาพในการแปรรูปของเสียให้เป็นปุ๋ยหรือพลังงานทดแทน เพื่อให้เกิดการใช้ประโยชน์สูงสุดและลดมลพิษ 2. การดูแลสุขภาพสัตว์ การดูแลสุขภาพของสุกรเป็นอีกหนึ่งหัวใจหลักของมาตรฐาน GAP ผู้เลี้ยงควรมีการติดตามสภาพสุขภาพของสุกรอย่างใกล้ชิด ทั้งการตรวจสุขภาพประจำวันและการฉีดวัคซีนตามระยะเวลา การจัดทำประวัติการรักษาของแต่ละตัวจะช่วยให้สามารถระบุและควบคุมโรคได้อย่างทันท่วงที การใช้ยาและสารเคมีควรเป็นไปตามแนวทางที่ปลอดภัยและมีการบันทึกอย่างเป็นระบบ เพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดดุลยภาพตัวยาที่อาจส่งผลต่อคุณภาพเนื้อและสุขภาพของผู้บริโภค 3. การจัดการอาหารและน้ำ มาตรฐาน GAP ยังเน้นให้ผู้เลี้ยงสุกรให้ความสำคัญกับการจัดการอาหารและน้ำที่ใช้ในการเลี้ยง การคัดสรรวัตถุดิบที่มีคุณภาพและปลอดภัยต่อสุขภาพของสัตว์นั้นเป็นสิ่งจำเป็น ผู้เลี้ยงควรมีการตรวจสอบคุณภาพอาหารและน้ำอย่างสม่ำเสมอ และปรับสูตรอาหารให้เหมาะสมกับช่วงอายุและความต้องการทางโภชนาการของสุกร เพื่อให้สุกรเติบโตอย่างแข็งแรงและมีประสิทธิภาพในการผลิต 4. การฝึกอบรมและการบริหารจัดการฟาร์ม มาตรฐาน GAP ส่งเสริมให้ผู้เลี้ยงมีความรู้และทักษะที่เกี่ยวข้องกับการจัดการฟาร์มที่ทันสมัย โดยการฝึกอบรมและการแลกเปลี่ยนประสบการณ์กับผู้เชี่ยวชาญในวงการเกษตร นอกจากนั้น การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในการบริหารจัดการฟาร์ม เช่น ระบบติดตามสุขภาพสัตว์และการวิเคราะห์ข้อมูลการผลิต จะช่วยให้ผู้เลี้ยงสามารถปรับปรุงกระบวนการผลิตให้มีประสิทธิภาพและคุ้มค่ามากยิ่งขึ้น 5. ความโปร่งใสและการตรวจสอบคุณภาพ สุดท้ายแล้ว การรักษามาตรฐาน GAP ยังเกี่ยวข้องกับความโปร่งใสในการดำเนินงานของฟาร์ม โดยการบันทึกและจัดทำรายงานผลการผลิตอย่างละเอียด ทำให้สามารถตรวจสอบและรับรองความปลอดภัยของสินค้าได้อย่างชัดเจน นอกจากนี้ การเข้าร่วมการตรวจสอบจากหน่วยงานภายนอกและการรับรองมาตรฐานจะช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับฟาร์มและเป็นการสร้างความมั่นใจให้กับผู้บริโภคในผลิตภัณฑ์ที่ได้มาตรฐาน ด้วยการนำแนวทาง GAP มาประยุกต์ใช้ ผู้เลี้ยงสุกรจะสามารถผลิตสินค้าได้อย่างมีคุณภาพ ปลอดภัยต่อผู้บริโภค และยังส่งเสริมการพัฒนาฟาร์มที่ยั่งยืนในระยะยาว สร้างมูลค่าเพิ่มให้กับฟาร์มและชุมชนรอบข้างอย่างเป็นระบบและมีประสิทธิภาพในทุกขั้นตอนของการผลิต

มาตรฐาน GAP สำหรับผู้เลี้ยงสุกร: แนวทางสู่การผลิตที่ปลอดภัยและยั่งยืน Read More »

ท่านประธานกรรมการสุภกิต เจียรวนนท์ เยี่ยมชมบูธธุรกิจเกษตรภัณฑ์ ในงาน VIV Asia 2025 งานแสดงสินค้าอุตสาหกรรมอาหารสัตว์ที่ใหญ่และครบวงจรที่สุดในเอเชีย

เมื่อเร็วๆ นี้ ท่านประธานกรรมการสุภกิต เจียรวนนท์ ประธานกรรมการเครือเจริญโภคภัณฑ์ พร้อมด้วย คุณอดิเรก ศรีประทักษ์ รองประธานอาวุโสเครือซีพี และประธานคณะกรรมการบริหาร บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ นำทีมผู้บริหารระดับสูงเข้าเยี่ยมชมบูธของ กลุ่มธุรกิจเกษตรภัณฑ์ (KSP – KPI) พร้อมทั้ง CP BIO, Famsun, Phibro Animal Health (Thailand) และ ธุรกิจอาหารโค CPF ภายในงาน VIV Asia 2025 ซึ่งเป็นงานแสดงสินค้าอุตสาหกรรมอาหารสัตว์ที่ใหญ่และครบวงจรที่สุดในเอเชีย ณ อิมแพ็ค เมืองทองธานี ไฮไลต์สำคัญของการเยี่ยมชมครั้งนี้ คือ การเปิดตัว “ข้าวโพดหมักซีพี” ราชาแห่งอาหารหยาบ นวัตกรรมทางเลือกใหม่สำหรับเกษตรกรผู้เลี้ยงโค แพะ และแกะ (สัตว์เคี้ยวเอื้อง) ซึ่งได้รับความสนใจเป็นอย่างมากจากผู้ร่วมงานเครือซีพีมุ่งมั่นพัฒนาโซลูชันเพื่อสนับสนุนเกษตรกรและอุตสาหกรรมอาหารสัตว์อย่างยั่งยืน พร้อมผลักดันเทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ตอบโจทย์ความต้องการของภาคปศุสัตว์และอุตสาหกรรมอาหารสัตว์ในอนาคต  

ท่านประธานกรรมการสุภกิต เจียรวนนท์ เยี่ยมชมบูธธุรกิจเกษตรภัณฑ์ ในงาน VIV Asia 2025 งานแสดงสินค้าอุตสาหกรรมอาหารสัตว์ที่ใหญ่และครบวงจรที่สุดในเอเชีย Read More »

ส่งมอบเงินแก่โรงพยาบาล-โรงเรียน-หน่วยงานต่างๆ แล้วกว่า 70 แห่ง ‘CPF RUN FOR CHARITY’ ชวนสายวิ่งทั่วไทย เดิน-วิ่งเพื่อการกุศล

ส่งมอบเงินแก่โรงพยาบาล-โรงเรียน-หน่วยงานต่างๆ แล้วกว่า 70 แห่ง ‘CPF RUN FOR CHARITY’ ชวนสายวิ่งทั่วไทย เดิน-วิ่งเพื่อการกุศล       การให้ไม่สิ้นสุด!!  ซีพีเอฟ เดินหน้าสร้างสังคมยั่งยืน ชวนร่วมกิจกรรมเดิน-วิ่งเพื่อการกุศล “CPF RUN FOR CHARITY” หนุนคนไทยสุขภาพดี พร้อมทำดีเพื่อสังคม นำรายได้หลังหักค่าใช้จ่ายส่งมอบให้แก่หน่วยงานสาธารณประโยชน์ในจังหวัดต่างๆ ทั้งโรงพยาบาล โรงเรียน ชุมชน องค์กรภาครัฐ และองค์กรสาธารณประโยชน์ แล้วกว่า 70 แห่ง เป็นเงินร่วม 17 ล้านบาท จากการจัดงานอย่างต่อเนื่องมากกว่า 38 ครั้ง      นายเรวัติ หทัยสัตยพงศ์ ผู้อำนวยการใหญ่ ธุรกิจอาหารสัตว์บก บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือซีพีเอฟ เปิดเผยว่า ซีพีเอฟ มุ่งเสริมสร้างสุขภาพที่ดีให้แก่บุคลากรของบริษัทและครอบครัว รวมถึงประชาชน ผ่านกิจกรรมเดิน-วิ่งเพื่อการกุศล โดยจัดตั้งชมรมซีพีเอฟรันนิ่งคลับ (CPF Running Club) มาตั้งแต่ปี 2559 โดยพัฒนารูปแบบกิจกรรมพร้อมนำระบบและเทคโนโลยีในการจัดการแข่งขันวิ่งที่ได้มาตรฐาน มีความปลอดภัยสำหรับนักวิ่งทุกคน พร้อมจัดอบรมเทคนิคการวิ่ง ปัจจุบันได้มีการกิจกรรมอย่างต่อเนื่องเป็นปีที่ 10 เพื่อส่งเสริมให้คนไทยได้ออกกำลังกาย มีสุขภาพที่ดี สร้างความผูกพันในครอบครัว และยังเป็นการประชาสัมพันธ์การท่องเที่ยวของจังหวัดต่างๆที่บริษัทไปจัดงาน ที่สำคัญยังได้ร่วมกันทำความดีช่วยเหลือสังคมไปพร้อมกัน   “การจัดกิจกรรมเดิน-วิ่งการกุศล ถือเป็นประโยชน์ต่อสังคมและชุมชน ในการมีสุขภาพที่ดี และบริษัทยังมุ่งจัดงานในรูปแบบคาร์บอน นิวทรัล (Carbon Neutral Event) ช่วยลดโลกร้อน ด้วยการคำนวนและจัดเก็บข้อมูลการปล่อยก๊าซเรือนกระจก อาทิ ลักษณะการเดินทางของผู้มาร่วมงาน การใช้พลังงาน และอาหารภายในงาน รวมถึงของเสียที่มีการคัดแยกและจัดการอย่างจริงจัง ลดการใช้ทรัพยากรที่ไม่จำเป็น อย่างเช่นบรรจุภัณฑ์พลาสติก เพื่อเชิญชวนให้ผู้ร่วมงานร่วมกันใส่ใจสิ่งแวดล้อม”       นักวิ่งทุกคนมีส่วนร่วมในกิจกรรมลดโลกร้อน โดยซีพีเอฟเลือกใช้เสื้อวิ่งที่ทำมาจากขวดน้ำพลาสติก ใช้ภาชนะที่สามารถย่อยสลายได้ เช่น ใบตอง กระดาษ และมีการแยกขยะอย่างจริงจัง เพื่อสามารถนำมาใช้ประโยชน์ต่อได้ โดยบริษัทจะยังคงเดินหน้าสานต่อกิจกรรมดีๆ เพื่ออยู่ร่วมกับคนในชุมชนรอบสถานประกอบการซีพีเอฟและคนไทย ผ่านกิจกรรมเดิน-วิ่งเพื่อการกุศล ที่จัดขึ้นปีละ 2 ครั้ง โดยกิจกรรมล่าสุดจะจัดกิจกรรม CPF ZOO RUN “RUN FOR CHARITY SEASON 4 ที่สวนสัตว์เปิดเขาเขียว อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี ในวันที่ 23 มีนาคม 2568       ที่ผ่านมา มีหน่วยงานที่ได้รับการสนับสนุน เช่น มูลนิธิชัยพัฒนา โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ โรงพยาบาลพระนครศรีอยุธยา โรงพยาบาลวังน้อย โรงพยาบาลเสนา โรงพยาบาลท่าเรือ โรงพยาบาลเทพรัตน์นครราชสีมา โรงพยาบาลมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี โรงพยาบาลสมเด็จพระบรมราชเทวี ณ ศรีราชา และโรงพยาบาลในจังหวัดที่จัดงาน ทั้งราชบุรี หาดใหญ่ พิษณุโลก ขอนแก่น สระบุรี ตลอดจน สถาบันมะเร็งแห่งชาติ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี รวมถึงมอบเงินสนับสนุนกิจกรรมของเหล่ากาชาด จ.ลำพูน และสถานศึกษาใน จ.ลำพูน เป็นต้น

ส่งมอบเงินแก่โรงพยาบาล-โรงเรียน-หน่วยงานต่างๆ แล้วกว่า 70 แห่ง ‘CPF RUN FOR CHARITY’ ชวนสายวิ่งทั่วไทย เดิน-วิ่งเพื่อการกุศล Read More »

เว็บไซต์นี้มีการจัดเก็บคุกกี้เพื่อมอบประสบการณ์การใช้งานเว็บไซต์ให้แก่ท่านได้ดียิ่งขึ้น รวมถึงทำให้สามารถมอบข้อเสนอ กิจกรรมส่งเสริมการขาย เลือกเนื้อหาให้เหมาะสมแก่ท่านอย่างเป็นส่วนตัวได้ การเก็บและใช้งานคุกกี้สามารถศึกษาได้ที่นโยบายการใช้คุกกี้นี้ การใช้งานเว็บไซต์นี้จะมีการจัดเก็บคุกกี้ประเภทต่าง ๆ ซึ่งท่านต้องยอมรับและยินยอมให้บริษัทฯ จัดเก็บ. (เรียนรู้เพิ่มเติม)