วงการปศุสัตว์

เทคโนโลยีระบบรีดนมอัตโนมัติ

เทคโนโลยีระบบรีดนมอัตโนมัติ ประหยัดเวลา เพิ่มประสิทธิภาพ

เทคโนโลยีระบบรีดนมอัตโนมัติ คือ ระบบอัตโนมัติที่ใช้ในการเลี้ยงโคนม โดยระบบจะประกอบด้วย เครื่องรีดนม อุปกรณ์ที่สามารถระบบควบคุมด้วยคอมพิวเตอร์ โคสามารถเข้าสู่เครื่องรีดนมได้เมื่อพร้อมที่จะรีดนม และเครื่องจะติดและถอดจุกนมโดยอัตโนมัติ ระบบนี้สามารถลดเวลา และแรงงานที่ต้องใช้ในการรีดนมได้อย่างมาก เพื่อเพิ่มจำนวนการรีดนมต่อวัน โดยให้รายละเอียดที่เกี่ยวข้องกับการผลิตน้ำนม การกินอาหาร และสถานะสุขภาพของโคในแต่ละตัว เพิ่มประโยชน์ให้กับเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนม ประสิทธิภาพและผลผลิตที่เพิ่มขึ้น สามารถลดเวลา และแรงงานที่จำเป็นสำหรับการรีดนมเพื่อเพิ่มจำนวนการรีดนมต่อวันได้อย่างมาก ปรับปรุงสุขภาพฝูง  สามารถตรวจสอบ และตรวจพบปัญหาสุขภาพในโคแต่ละตัวเพื่อให้ข้อมูลสำหรับการแทรกแซงและการรักษาในระยะแรก ความสะดวกสบายของสัตว์ที่เพิ่มขึ้น ช่วยให้สามารถรีดนมได้บ่อย และยืดหยุ่นมากขึ้น ลดความเครียดของโค และส่งเสริมสุขภาพของเต้านมที่ดีขึ้น การจัดการข้อมูลที่ดีขึ้น สามารถให้บันทึกโดยละเอียดเกี่ยวกับการผลิตน้ำนม การกินอาหาร และสถานะสุขภาพของโคแต่ละตัว ทำให้เกษตรกรสามารถตัดสินใจในการจัดการได้อย่างมีข้อมูล นอกจากนี้ ยังมีข้อเสียบางประการ ได้แก่ ต้นทุนเริ่มต้นสูง ความต้องการความเชี่ยวชาญด้านเทคนิคเฉพาะสำหรับการติดตั้งและการบำรุงรักษา ประสิทธิภาพ ยังขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆ เช่น ขนาดฝูง ประเภทของโคนม และความต้องการเฉพาะและเป้าหมายของเกษตรกร   อุปกรณ์การทำความสะอาดระบบรีดนมอัตโนมัติ ถังบรรจุน้ําทําด้วยพลาสติก หรือสแตนเลส ได้ไม่ต่ํากว่า 10 ลิตร น้ํายาล้างทําความสะอาดอุปกรณ์รีดนมที่มีฤทธิ์เป็นด่าง เช่น น้ํายาล้างจาน น้ํายาคลอรีน ถ้าเป็นคลอรีนชนิดผง จะต้องเป็นน้ําที่ผ่านการหมักแล้ว แปรงสําหรับทําความสะอาดอุปกรณ์รีดนม ต้องเป็นแปรงที่มีรูปร่างและขนแปรงมีความนุ่ม เหมาะสําหรับอุปกรณ์รีดนมแต่ละชิ้น น้ําสะอาด วิธีการทำความสะอาดระบบรีดนมอัตโนมัติ ล้างด้วยน้ำสะอาดเพื่อขจัดสิ่งสกปรกให้หลุดออก ทำความสะอาดด้วยน้ำยาทำความสะอาดที่มีฤทธิ์เป็นด่าง เช่น น้ํายาล้างจาน ล้างให้สะอาดเพื่อขจัดน้ำยาทำความสะอาด ฆ่าเชื้อด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อเฉพาะทาง หรือน้ํายาคลอรีน ล้างให้สะอาดอีกครั้งเพื่อขจัดสารฆ่าเชื้อ ผึ่งให้แห้งสนิทในที่ร่มและอากาศถ่ายเทสะดวกก่อนใช้งาน ควรหลีกเลี่ยงการนําอุปกรณ์ ส่วนที่เป็นยางไปตากในที่แดด เพราะจะทําให้เสื่อมสภาพและอายุการใช้งานสั้นลง ข้อแนะนำ หลังการใช้งาน ไม่ควรล้างทําความสะอาดอุปกรณ์รีดนมในทันทีที่รีดนมเสร็จแล้ว ควรถอดชิ้นส่วนของชุดรีด นมออกจากกัน แล้วแช่อุปกรณ์ทั้งหมดก่อนทำความสะอาด ในน้ำสะอาด หรือน้ําผสมน้ํายาคลอรีน และล้างในน้ำสะอาดอีกครั้ง เพื่อป้องกันน้ำยาปนเปื้อน นอกจากนี้ทาง CPF เราได้มีการให้ความรู้เกี่ยวกับเทคนิคการรีดน้ำนมโคให้กับเกษตรกรโดยตรง และยังมีการพัฒนาน้ำเชื้อเพื่อพัฒนาสายพันธุ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ขอแนะนำบริการอื่นๆของเราที่จะช่วยให้เกษตรผู้เลี้ยงสัตว์ ได้รับความสะดวก ประหยัด คุ้มค่ามากขึ้นด้วยเว็บไซต์สั่งซื้ออาหารสัตว์ออนไลน์ โดยมีการจัดมหกรรมลดราคาน้ำเชื้อครั้งยิ่งใหญ่ประจำปี วันนี้ – 28 กุมภาพันธ์ 2566 ผู้ที่สนใจสามารถติดต่อสอบถามได้ที่พนักงานขายในพื้นที่ในแต่ละจังหวัด ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่นี่ https://cpffeedsolution.com/cattlefeed/2566-cow-promotion/ และสำหรับนักธุรกิจฟาร์มขนาดกลาง ใหญ่ เรามีศูนย์รวมบริการสำหรับธุรกิจฟาร์ม แบบครบวงจร จบทุกปัญหาที่ Farm Solutions ที่สามารถช่วยดูแล และสนับสนุนการเติบโตธุรกิจฟาร์ม ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่นี่ http://www.cpffarmsolutions.com  

เทคโนโลยีระบบรีดนมอัตโนมัติ ประหยัดเวลา เพิ่มประสิทธิภาพ Read More »

ก๊าซชีวภาพจากมูลสัตว์ พลังงานหมุนเวียนเพื่อการทดแทน

ก๊าซชีวภาพจากมูลสัตว์ พลังงานหมุนเวียนเพื่อการทดแทน

ก๊าซชีวภาพ คือ ก๊าซชีวภาพชนิดหนึ่งที่เกิดจากการย่อยสลายของเสียจากสัตว์ เช่น มูลสัตว์ เครื่องปฏิกรณ์ก๊าซชีวภาพที่ไม่ใช้ออกซิเจน กระบวนการนี้ทำให้เกิดก๊าซมีเทนและก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ที่สามารถดักจับและใช้เป็นแหล่งพลังงานหมุนเวียนได้ ถือเป็นทางเลือกที่ยั่งยืน เหมาะกับแหล่งพลังงานแบบดั้งเดิม มีประสิทธิภาพในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และคุณสมบัติในการดูดซับคลื่นรังสีความร้อน ที่ก่อให้เกิดผลเสีย ประโยชน์ก๊าซชีวภาพ แหล่งพลังงานหมุนเวียน จากของเสียจากสัตว์เป็นแหล่งพลังงานหมุนเวียนที่สามารถทดแทน ที่ไม่หมุนเวียน เช่น เชื้อเพลิงฟอสซิล ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก การใช้ก๊าซชีวภาพช่วยลดการปล่อยก๊าซมีเทนซึ่งเป็นก๊าซเรือนกระจกที่มีศักยภาพสูงสู่ชั้นบรรยากาศ การจัดการของเสีย การผลิตก๊าซชีวภาพจากของเสียจากสัตว์เป็นทางออกสำหรับการจัดการมูลสัตว์ที่เหมาะสม และลดมลภาวะต่อสิ่งแวดล้อม ปรับปรุงความอุดมสมบูรณ์ของดิน ที่เป็นผลพลอยได้ที่เหลือจากการผลิตก๊าซชีวภาพ เช่น กากอาหาร สามารถนำไปใช้เป็นปุ๋ยอินทรีย์ ปรับปรุงความอุดมสมบูรณ์ของดิน และลดความจำเป็นในการใช้ปุ๋ยเคมี สุขอนามัยที่ดีขึ้น การผลิตก๊าซชีวภาพสามารถปรับปรุงสุขอนามัยและสภาวะสุขภาพได้โดยการลดปริมาณของเสียและลดความเสี่ยงของการกระจายของโรค ขั้นตอนการผลิตก๊าซชีวภาพ การเก็บมูลสัตว์ : ขั้นตอนแรกคือ การรวบรวมมูลสัตว์ เช่น มูลสัตว์ ในพื้นที่จัดเก็บที่เหมาะสม การบำบัดของเสียล่วงหน้า : ของเสียที่นำผสมกับน้ำเพื่อสร้างสารละลายซึ่งผ่านการบำบัดเพื่อลดปริมาณของแข็ง การย่อยแบบไม่ใช้ออกซิเจน : การใช้สารละลายป้อนเข้าไปในเครื่องย่อยที่ไม่ใช้ออกซิเจน ซึ่งเป็นภาชนะปิดสนิทเพื่อให้ของเสียแตกตัวและผลิตก๊าซ การผลิตก๊าซชีวภาพ : จุลินทรีย์ในบ่อหมักจะทำการย่อยสลายสารอินทรีย์ในของเสียผลิต ซึ่งประกอบด้วยก๊าซมีเทนและคาร์บอนไดออกไซด์เป็นส่วนใหญ่ การรวบรวมและจัดเก็บก๊าซชีวภาพ : ก๊าซชีวภาพที่ผลิตได้จะถูกรวบรวม และมีการเก็บไว้ในที่เก็บก๊าซ การใช้ก๊าซชีวภาพ : สามารถนำไปใช้ในการหุงต้ม ทำความร้อน หรือผลิตกระแสไฟฟ้า ข้อควรปฏิบัติก่อนนำก๊าซมาใช้งาน การดักน้ำในท่อและส่งก๊าซ การผลิตก๊าซชีวภาพที่ได้มีการมัก และมีความชื้นสูง เมื่อก๊าซไหลผ่านท่อส่งก๊าซที่มีอุณหภูมิต่ำ จะทำให้ความชื้นกลั่นตัวเป็นหยดน้ำ สะสมจนอุดตันทางเดินของก๊าซ การปรับลดปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และการปรับลดปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ จะปฏิบัติก็ต่อเมื่อมีความจำเป็น ในกรณีที่ก๊าซชีวภาพที่ได้มีสัดส่วน ของก๊าซมีเทนต่ำค่อนข้างมาก อยู่ในระดับที่จุดไฟติดยาก การปรับลดก๊าซไฮโดรเจนซัลไฟด์ ซึ่งมีคุณสมบัติเป็นก๊าซพิษ และเมื่อสัมผัสกับน้ำหรือไอน้ำ จะทำให้เปลี่ยนสภาพเป็นกรดซัลฟูริก เป็นสาเหตุของฝนกรดหรือไอกรด มีความสามารถกัดกร่อนโลหะและวัสดุอุปกรณ์ได้เป็นอย่างดี นอกจาก การผลิตก๊าซชีวภาพจากมูลสัตว์ ทำให้ได้ก๊าซที่ผลิตขึ้นจากธรรมชาติ ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อสังคม สิ่งแวดล้อม และเศรษฐกิจ ก๊าซที่ได้เหล่านี้สามารถนำมาเป็นเชื้อเพลิงเพื่อใช้ประโยชน์ในการหุงต้ม ให้แสงสว่าง หรือนำมาเป็นเชื้อเพลิงในการผลิตกระแสไฟฟ้าได้ โดยก๊าซชีวภาพ 1 ลูกบาศก์เมตร สามารถนำมาใช้ทดแทนพลังงานเชื้อเพลิงได้ ทั้งนี้การผลิตก๊าซชีวภาพจึงมีประโยชน์ต่อเกษตรกรเป็นอย่างมาก ทาง CPF เราจึงมีการพัฒนาการบริการ เพื่อสนับสนุนเพื่อสร้างความสำเร็จธุรกิจฟาร์มอย่างต่อเนื่อง ทั้งในเรื่องวิชาการจากทีมนักวิชาการ ผู้เชี่ยวชาญต่างๆ ตลอดจนการนำเทคโนโลยีทันสมัยเข้ามาปรับใช้อย่างต่อเนื่อง สำหรับนักธุรกิจฟาร์มขนาดกลาง ใหญ่ เรามีศูนย์รวมบริการสำหรับธุรกิจฟาร์ม แบบครบวงจร จบทุกปัญหาที่ Farm Solutions ที่สามารถช่วยดูแล และสนับสนุนการเติบโตธุรกิจฟาร์ม ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่นี่ : http://www.cpffarmsolutions.com ขอแนะนำบริการของเราที่จะช่วยให้เกษตรผู้เลี้ยงสัตว์ ได้รับความสะดวก ประหยัด คุ้มค่ามากขึ้นด้วยเว็บไซต์สั่งซื้ออาหารสัตว์ออนไลน์ ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่นี่ : https://cpffeedsolution.com/cpffeed-smart-merchant/

ก๊าซชีวภาพจากมูลสัตว์ พลังงานหมุนเวียนเพื่อการทดแทน Read More »

สีของเปลือกไข่มาจากไหน CR: ผู้เชี่ยวชาญอาหารสัตว์ซีพีเอฟ

สีของเปลือกไข่มาจากไหน ?? ที่มารูปภาพ : https://www.chickens.allotment-garden.org/eggs/egg-shell-colour-breed-hen/ ถ้าจะพูดถึงเรื่องไข่รับรองได้ว่าไม่มีใครที่ไม่เคยทานไข่ ไม่ว่าจะเป็นไข่ไก่ ไข่เป็ด ไข่นกกระทา ซึ่งไข่ทั้ง 3 ชนิดนี้นอกจากเรื่องของขนาดฟองที่แตกต่างกันแล้ว เรื่องของสีเปลือกก็จะเห็นว่ามันต่างกัน  ในวันนี้เราจะมาทำความเข้าใจกันว่าสีของเปลือกไข่ไก่มันมาไหนแล้วมีปัจจัยอะไรบ้างที่ส่งผลกระทบต่อความเข้มของสีเปลือกไข่ไก่ที่เราเลี้ยงกัน สีของเปลือกไข่ไก่จะขึ้นอยู่กับยีนส์หรือพันธุกรรมของแม่ไก่หรือเรียกง่ายๆว่า ขึ้นอยู่กับสายพันธุ์ของแม่ไก่  แม่ไก่สายพันธุ์เล็กฮอร์น (Leghorns) ที่มา : https://www.efowl.com/product/white-leghorn-chickens/ ก็จะออกไข่ที่มีเปลือกเป็นสีขาวซึ่งเป็นสีของแคลเซียมคาร์บอเนตที่เป็นส่วนประกอบหลักของเปลือกไข่ ซึ่งไข่เปลือกสีขาวนี้เป็นที่นิยมบริโภคในประเทศอเมริกา และประเทศแถบยุโรป ส่วนในประเทศไทยนิยมบริโภคไข่ที่เปลือกเป็นสีน้ำตาล ซึ่งแม่ไก่สายพันธุ์ที่ออกไข่เปลือกสีน้ำตาลก็เช่น สายพันธุ์โร้ด ไอซ์แลนด์ เร็ด (Rhode Island Reds) ที่มา : https://www.pinterest.com/pin/167899892327935917/ โดยสีน้ำตาลที่เราเห็นบนเปลือกไข่ นั้นคือสารที่เรียกว่า โปรโต้พอร์ไฟริน (Protoporphyrin) ซึ่งได้จากการกระบานการแตกตัวของเม็ดเลือดแดงของแม่ไก่ เมื่อแม่ไก่สร้างเปลือกไข่ที่มีความแข็งเรียบร้อยแล้ว สารโปรโต้พอร์ไฟรินก็จะถูกปล่อยออกมาเคลือบที่ผิวของเปลือกไข่ ซึ่งเป็นขั้นตอนสุดท้ายของขบวนการสร้างเปลือกไข่ที่ใช้ต้องเวลาทั้งหมด 25-26 ชั่วโมงต่อการออกไข่ 1 ฟอง นอกจากไข่ไก่ที่เปลือกเป็นสีขาวและสีน้ำตาลแล้ว ยังมีไข่ที่เปลือกเป็นสีฟ้าและสีเขียว ซึ่งเกิดจากสารคนละชนิดกันกับที่ใช้สร้างไข่เปลือกสีน้ำตาล สำหรับปัจจัยที่ส่งผลต่อความเข้มของเปลือกไข่สีน้ำตาล ก็เช่น 1.สายพันธุ์ : ไก่บางสายพันธุ์ก็ให้ไข่ที่เปลือกออกสีน้ำตาลเข้มกว่าบางสายพันธุ์ 2.อายุ : แม่ไก่ที่อายุน้อยกว่าก็จะให้ไข่ที่เปลือกสีน้ำตาลเข็มกว่าแม่ไก่ที่อายุเยอะ 3.สุขภาพ : แม่ไก่ที่สุขภาพสมบูรณ์ ไม่ป่วย เช่น โรคนิวคลาสเซิส (ND), โรคหลอดลมอักเสบ (IB) เป็นต้น หรือแม่ไก่ไม่ถูกรบกวนด้วยพยาธิภายในและภายนอก เช่น ไร เปลือกไข่ที่ออกมาก็จะมีสีน้ำตาลเข้มกว่าแม่ไก่ที่ป่วย หรือถูกทั้งพยาธิภายในและภายนอกรบกวน 4.ความเครียด :  เมื่อแม่ไก่ได้รับความเครียดอาจจะเกิดสภาพแวดล้อมภายในเล้า เช่น อากาศร้อน การระบายอากาศไม่มี มีแก๊สแอมโนเนียสะสมภายในเล้า ซึ่งจะส่งผลต่อสุขภาพและการกินอาหารได้ของแม่ไก่ทำให้มีผลต่อคุณภาพเปลือกไข่และความเข้มของสีเปลือกไข่ที่แม่ไก่สร้างขึ้นมาด้วย ดังจะเห็นได้ชัดเจนว่าไข่ที่ได้จากแม่ไก่ที่เลี้ยงในโรงเรือนปิด (Evapulative Cooling System) ความเข้มของสีเปลือกไข่ก็จะดูดีกว่าไข่ที่ได้จากแม่ไก่ที่เลี้ยงในเล้าเปิดที่มีโอกาสได้รับความเครียดมากกว่า   นอกจากปรับสภาพแวดล้อมภายในเล้าให้เหมาะสมต่อความต้องการของแม่ไก่แล้ว การเสริมไวตามิน ซี ก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่จะช่วยแม่ไก่ลดความเครียดลงได้ 5.อาหาร : เมื่อแม่ไก่ได้น้ำและอาหารที่มีความสมดุลของโภชนะครบถ้วนตามที่แม่ไก่ต้องการย่อมออกไข่ที่เปลือกสีสวยกว่าแม่ไก่ที่ได้รับน้ำและอาหารที่ไม่เพียงพอต่อความต้องการ การเสริมไวตามิน เช่น ไวตามิน อี, ไวตามิน ดี และแร่ธาตุบางตัว เช่น ธาตุเหล็ก, แมกนีเซียม เป็นต้น นอกจากแคลเซียมและฟอสฟอรัส ที่แม่ไก่ต้องไก่ต้องได้รับอย่างเพียงแล้ว ก็สามารถที่จะพอช่วยเรื่องคุณภาพและสีเปลือกไข่ได้บ้าง สุดท้ายอยากฝากไว้ว่าไม่ว่าไข่ไก่เปลือกจะเป็นสีอะไร หรือเปลือกจะเป็นสีน้ำตาลอ่อนหรือน้ำตาลเข้ม คุณค่าทางโภชนการของสิ่งที่อยู่ภายใต้เปลือกที่เราเห็นของใขแต่ละฟองนั้น (ที่มีน้ำหนักเท่ากันนะครับ) ไม่ได้มีความแตกต่างกันเลยนะคร๊าบบบ CR: ผู้เชี่ยวชาญด้านอาหารสัตว์ คุณ สมเจต

สีของเปลือกไข่มาจากไหน CR: ผู้เชี่ยวชาญอาหารสัตว์ซีพีเอฟ Read More »

ฟาร์มเกษตรสันติราษฎร์ “ฟาร์มรีสอร์ท” เป็นมิตรสิ่งแวดล้อม

ฟาร์มเกษตรสันติราษฎร์ ตั้งอยู่ที่ ต.นาวังหิน อ.พนัสนิคม จ.ชลบุรี เป็นฟาร์มสุกรของซีพีเอฟ ที่ยกระดับจากฟาร์มสุกรสู่โมเดลฟาร์มเลี้ยงสัตว์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและชุมชน มีการปรับสภาพแวดล้อมในบริเวณฟาร์มให้สวยงาม นำระบบจัดการของเสียด้วยไบโอแก๊สมาใช้ในฟาร์มเพื่อรักษาสิ่งแวดล้อม ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ลดการใช้น้ำและไฟฟ้าในกระบวนการผลิต นำระบบไบโอแก๊สมาผลิตกระแสไฟฟ้าใช้ภายในฟาร์ม ช่วยลดต้นทุนค่าไฟฟ้าได้ 60-70%   พื้นที่ภายในบริเวณฟาร์ม มีการปลูกไม้ยืนต้น เพื่อเพิ่มพื้นที่สีเขียว ใช้น้ำหมุนเวียนภายในฟาร์มโดยไม่ปล่อยน้ำเสียออกจากฟาร์ม นำเทคโนโลยีโรงเรือนเลี้ยงสัตว์ระบบปิดควบคุมอุณหภูมิด้วยการระเหยของน้ำ หรือ EVAP (Evaporative Cooling System) มาใช้ เพื่อปรับให้อากาศภายในโรงเรือนเหมาะสมกับสัตว์แต่ละประเภท และมีการเลี้ยงสุกรแบบคอกรวม ทำให้สุกรมีพื้นที่ในการเดินเล่นไปมาในคอกได้ ตามหลักสวัสดิภาพสัตว์ (Animal welfare) เป็นผลให้สัตว์อยู่สบาย ไม่เครียด เติบโตได้ดีตามศักยภาพ   ซีพีเอฟ มุ่งมั่นพัฒนาฟาร์มเลี้ยงสุกรทั่วประเทศให้เป็นฟาร์มสุกรที่เน้นกระบวนการผลิตเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและใส่ใจชุมชนหรือกรีนฟาร์ม (Green Farm) ฟาร์มเกษตรสันติราษฎร์ เป็นอีกแห่งหนึ่งที่มีการบริหารจัดการการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพควบคู่กับการประหยัดพลังงาน รวมทั้งปรับภูมิทัศน์ให้มีสภาพแวดล้อมที่สวยงาม สร้างบรรยากาศในการทำงานที่ดีให้แก่พนักงาน และสร้างภาพแวดล้อมที่ดีให้ชุมชน.  

ฟาร์มเกษตรสันติราษฎร์ “ฟาร์มรีสอร์ท” เป็นมิตรสิ่งแวดล้อม Read More »

ซีพีเอฟยึดหลักสวัสดิภาพสัตว์สากล ผลิตอาหารมั่นคง-ปลอดภัยยั่งยืน

            ซีพีเอฟยึดหลักสวัสดิภาพสัตว์สากล ผลิตอาหารมั่นคง-ปลอดภัยยั่งยืน      น.สพ.พยุงศักดิ์ สมยานนทนากุลรองกรรมการผู้จัดการ ด้านมาตรฐานอาหารสากลและความยั่งยืน ในฐานะประธานคณะกรรมการสวัสดิภาพสัตว์ บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือซีพีเอฟ เปิดเผยว่า ขณะนี้ซีพีเอฟมุ่งมั่นสร้างความยั่งยืนในการปฏิบัติสวัสดิภาพสัตว์ที่ดีซึ่งบริษัทดำเนินการมากกว่า 20 ปี ประสบความสำเร็จเป็นที่ยอมรับระดับโลก ด้วยการสร้างเจ้าหน้าที่สวัสดิภาพสัตว์ปีกด้านฟาร์มไก่เนื้อ หรือ Poultry Welfare Officer (PWO) เพื่อให้คำแนะนำฟาร์มไก่เนื้อทั้งในไทยและต่างประเทศได้ครบทุกประเทศที่ซีพีเอฟไปลงทุน เทียบเท่า100%ในปี2562 ด้านฟาร์มไก่ไข่ได้เริ่มพัฒนาไปสู่การเลี้ยงแบบปล่อยอิสระในโรงเรือน (Cage Free)จากโครงการนำร่องในไทยได้ผลเป็นที่น่าพอใจ ส่วนกิจการฟาร์มสุกรแม่พันธุ์อุ้มท้องในไทยจะเปลี่ยนเป็นการเลี้ยงแบบคอกขังรวม 100% ในปี 2568 และฟาร์มสุกรแม่พันธุ์อุ้มท้องในต่างประเทศ ในปี 2571 พร้อมกับให้มีการอบรม Swine Health and Welfareเพื่อความตระหนักรู้อย่างยั่งยืน ในฟาร์มบริษัทและฟาร์มของเกษตรกรในโครงการส่งเสริมการเลี้ยงสัตว์     ซีพีเอฟใช้นโยบายสวัสดิภาพสัตว์ (Animal Welfare) ควบคู่กับนโยบายการใช้ยาต้านจุลชีพด้วยความรับผิดชอบ โดยหลักแห่งมนุษยธรรมและสวัสดิภาพสัตว์ เมื่อสัตว์เจ็บป่วยจะได้รับการรักษาตามอาการของโรคและได้รับการปกป้องจากโรคภัยต่างๆ เพื่อให้สัตว์มีสุขภาพดีทั้งร่างกายและจิตใจ ซึ่งเป็นแนวทางปฏิบัติที่เคร่งครัดทั้งกิจการในประเทศไทยและต่างประเทศ     น.สพ.พยุงศักดิ์ กล่าวว่า บริษัทฯได้ถ่ายทอดเทคโนโลยีความรู้ ให้เกษตรกรในโครงการส่งเสริมการเลี้ยงสัตว์ ทั้งฟาร์มไก่เนื้อและฟาร์มสุกร เพื่อให้มีความเข้าใจการจัดการที่ดีด้านสวัสดิภาพสัตว์ ครอบคลุมทั้งเรื่องระบบการเลี้ยง การขนส่ง การจับ และการแปรรูป สามารถปฏิบัติตามนโยบายและข้อกำหนดด้านสวัสดิภาพสัตว์ที่เป็นสากล     การเลี้ยงไก่เนื้อของซีพีเอฟ ที่ได้นำสายพันธุ์ที่พัฒนาตามธรรมชาติจนได้สายพันธุ์ไก่เนื้อที่ให้เนื้อมากเติบโตเร็วมีความแข็งแรง จากนั้นนำมาเลี้ยงในโรงเรือนระบบปิดแบบปรับอากาศให้เย็นสบายด้วยการระเหยของน้ำ (Evaporative Cooling System ใช้อุปกรณ์ให้น้ำและอาหารแบบอัตโนมัติควบคุมด้วยคอมพิวเตอร์ โดยเลี้ยงแบบปล่อยพื้นหรือที่เรียกว่า cage free เพื่อให้สัตว์อยู่อย่างอิสระสามารถแสดงออกถึงพฤติกรรมตามธรรมชาติ     ด้านการเลี้ยงไก่ไข่ Cage free เป็นการเลี้ยงแบบปล่อยให้แม่ไก่มีอิสระในโรงเรือนระบบปิดปรับอากาศ ทำให้สัตว์มีสุขอนามัยที่ดี อยู่อย่างสบาย ได้รับอาหารและน้ำอย่างเพียงพอ ตามแนวทาง Bio security Hi-Tech Farming เช่นเดียวกับ การเลี้ยงสุกร ฟาร์มทั้งหมดเป็นโรงเรือน EVAP และปรับเปลี่ยนโรงเรือนเลี้ยงสุกรแม่พันธุ์อุ้มท้องจากเดิมที่เป็นแบบยืนซอง มาเป็นระบบการเลี้ยงแบบคอกขังรวม เพื่อให้สัตว์ได้อยู่สุขสบายในสภาพแวดล้อมที่ดี    น.สพ.พยุงศักดิ์ กล่าวย้ำว่า การให้สัตว์อยู่ในสภาพแวดล้อมที่สุขสบาย ภายใต้การป้องกันโรคที่ดี และได้รับอาหารที่มีโภชนาการเหมาะสมตามวัย ทำให้สัตว์สุขภาพดี แข็งแรง ไม่เครียด ไม่ป่วย จึงไม่จำเป็นต้องใช้ฮอร์โมนหรือยาปฏิชีวนะเร่งเติบโต นั่นคือความปลอดภัยอาหารและคุณภาพของผลิตภัณฑ์ซีพีเอฟ ที่ส่งมอบให้ผู้บริโภคทั้งในและต่างประเทศ  

ซีพีเอฟยึดหลักสวัสดิภาพสัตว์สากล ผลิตอาหารมั่นคง-ปลอดภัยยั่งยืน Read More »

เลี้ยงไก่ไข่อย่างไรให้คุ้มทุน และมีกำไร วิธีง่ายๆ ที่ไม่ควรมองข้าม

คนไทยมีการบริโภคไข่ไก่ เฉลี่ย 260 ฟอง/ปี แต่ราคาไข่ไก่หน้าฟาร์มยังคงผันผวนตลอดปี จากเหตุการณ์ดังกล่าวส่งผลกระทบโดยตรงต่อผู้ผลิต หรือเกษตรกรผู้เลี้ยงไก่ไข่ เพราะฉะนั้นเกษตรกรผู้เลี้ยงไก่ไข่จะมีวิธีรับมือกับสถานการณ์อย่างไร และจำเป็นต้องศึกษาต้นทุนของการเลี้ยงว่ามีอะไรบ้างกับ 4 ข้อหลักที่อยากแนะนำ 1. วัตถุดิบอาหาร คิดเป็น 70% ของต้นทุนการเลี้ยง หากต้องการประหยัดต้นทุน ถ้าเลี้ยงจำนวนไม่มาก ให้ซื้อหัวอาหาร (อาหารสำเร็จรูป) นำมาผสมเอง ซึ่งไก่ไข่เป็นสัตว์ที่สามารถเลี้ยงแบบอินทรีย์ได้ ผสมหยวกกล้วย ผักต่างๆ ที่ปลูกเองให้กินเสริมจะช่วยประหยัดต้นทุนได้มาก แต่ถ้าเลี้ยงเชิงอุตสาหกรรม หรือการเลี้ยงในเชิงพาณิชย์ (จำนวนมาก) เกินกว่าจะหาวัตถุดิบจากธรรมชาติได้ ก็ให้เลือกซื้ออาหารสำเร็จรูปจากบริษัทที่ได้มาตรฐาน ราคาพอยอมรับได้ 2. น้ำ คิดเป็น 5% ของต้นทุน ให้เลือกแหล่งน้ำจากธรรมชาติ แล้วบำบัด ฆ่าเชื้อให้น้ำสะอาด ไม่ต้องลงทุนมาก โดยการใช้น้ำประปา ใช้น้ำบนดิน น้ำบ่อ ที่ไหลมาจากแม่น้ำ หรือห้วย ลำคลอง มีแค่ภาชนะหรือแทงก์ใส่น้ำ ไว้สำหรับพักน้ำ ซึ่งเพียงพอต่อการเตรียมน้ำไว้ให้ไก่กิน โดยจะเสียค่าใช้จ่ายน้ำยาตกตะกอน และคลอรีนเท่านั้น   3. ยา วิตามิน เสริมบำรุง คิดเป็น 10% ของต้นทุนการเลี้ยง ให้เน้นที่การป้องกันมากกว่าการรักษา เพียงแค่คอยสังเกตความผิดปกติของไก่ เลี้ยงลูกยังไง ให้เลี้ยงไก่อย่างนั้น เอาใจใส่ หากเขามีอาหาร น้ำ เพียงพอ ไม่เครียดต่อสิ่งเร้ารอบข้าง ผู้เลี้ยงแทบไม่ต้องใช้ยาเลย แต่หากจำเป็นต้องใช้ก็ให้เลือกใช้เท่าที่จำเป็นกับโรคที่สำคัญๆ และเสริมวิตามินในช่วงอากาศเปลี่ยนแปลง หรืออากาศแปรปรวน และการเกิดอาการตกใจ ไม่ใช้ปริมาณยามากเกินไป จนกลายเป็นงบสิ้นเปลือง 4. ค่าเสื่อมโรงเรือน อุปกรณ์การเลี้ยง ค่าจ้าง ค่าเสียเวลา และอื่นๆ เป็นต้นทุนทั้งหมด คิดเป็น 15% ฉะนั้นต้องทำบัญชีรายรับ-รายจ่าย หรือสมุดบันทึกในการจดรายการรายจ่ายตั้งแต่เริ่มเลี้ยง และทุกวันที่ใช้จ่าย ทำให้สามารถคำนวณต้นทุนได้ หากผู้เลี้ยงไก่ไข่เลี้ยงแบบมีการวางแผน จะทำให้ได้ผลผลิตที่ดี ได้ไข่จำนวนมากขึ้นและสวย สามารถยืนพีคได้นาน สรุปการเลี้ยงไก่ไข่ให้มีกำไรได้นั้น ต้องขายไข่ให้ได้มากที่สุดด้วย ดังนั้น ตลาด ถือเป็นเรื่องที่สำคัญ หากเลี้ยงจำนวนน้อย แนะนำหาตลาดใกล้บ้าน จะทำให้ประหยัดค่าน้ำมันและค่าขนส่งค่าได้ แต่หากเลี้ยงจำนวนมาก ต้องมีตลาดรองรับ เพราะไก่ไข่จะออกไข่ทุกวัน หากเกิดภาวะไข่ล้นหรือขายไม่ได้ จะก่อให้เกิดปัญหาตามมาแน่นอน!!!

เลี้ยงไก่ไข่อย่างไรให้คุ้มทุน และมีกำไร วิธีง่ายๆ ที่ไม่ควรมองข้าม Read More »

เดินหน้ายกระดับคุณภาพชีวิตคนโคนม สานต่ออาชีพพระราชทาน

   กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เดินหน้ายกระดับคุณภาพชีวิตเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนม ด้วยโครงการธนาคารโคนมทดแทนฝูง ช่วยให้มีความอุดมสมบูรณ์พันธุ์ สุขภาพแข็งแรง ลดความเสี่ยงในการระบาดของโรค การผลิตน้ำนมดีขึ้นทั้งปริมาณและคุณภาพ น้ำนมมีคุณภาพสูง ช่วยให้เกษตรกรได้รับราคาที่ดี พร้อมรองรับปริมาณน้ำนมดิบที่เพิ่มขึ้น ด้วยการจัดตั้งโรงแปรรูปผลิตภัณฑ์นมและศูนย์เรียนรู้กิจการโคนมแบบครบวงจรภาคเหนือตอนบน หลังให้เยาวชนรุ่นใหม่และบุตรหลานเกษตรกรกลับมาให้ความสนใจการทำอาชีพการเลี้ยงโคนมเพิ่มขึ้น และพึ่งพาตนเองได้   คุณมนัญญา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังตรวจเยี่ยมโครงการจัดตั้งโรงแปรรูปผลิตภัณฑ์นมและศูนย์เรียนรู้กิจการโคนมแบบครบวงจรภาคเหนือตอนบน อำเภอห้างฉัตร จังหวัดลำปาง ว่า จากการที่อาชีพเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนม เป็นอาชีพพระราชทานจากในหลวง รัชกาลที่ 9 ตั้งแต่ปี 2505 ซึ่งกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยองค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย (อ.ส.ค.)ได้สานต่อการพัฒนาอาชีพนี้ พร้อมร่วมส่งเสริมพัฒนาวงการโคนม และอุตสาหกรรมนมไทยมาอย่างต่อเนื่อง    อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันเกษตรกรไทยส่วนใหญ่มีอายุค่อนข้างมากและก้าวสู่สังคมผู้สูงอายุ ส่งผลให้การประกอบอาชีพเกษตรกรรมมีประสิทธิภาพลดลง ขณะที่เยาวชนรุ่นใหม่และบุตรหลานเกษตรกรได้ให้ความสนใจเข้าสู่ภาคอุตสาหกรรมเพิ่มมากขึ้น ทำให้การสานต่ออาชีพเกษตรกรรมจากบรรพบุรุษมีแนวโน้มลดลง ซึ่งการเลี้ยงโคนมก็เป็นหนึ่งอาชีพที่กำลังเผชิญปัญหาดังกล่าวเช่นกัน องค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย (อ.ส.ค.) ในฐานะองค์กรหลักที่มีบทบาทในการส่งเสริมและพัฒนาการเลี้ยงโคนมของไทยมาอย่างต่อเนื่อง จึงต้องกำหนดแนวทางพัฒนาเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมให้มีความเข้มแข็งและสามารถพึ่งพาตนเองได้ ซึ่งจะเป็นการสืบสานอาชีพการเลี้ยงโคนมให้มีความมั่นคงและเกิดความยั่งยืนต่อไปด้วย นอกจากนี้ ยังได้ให้ความสำคัญกับการส่งเสริมการตลาด โดยพยายามให้นมของ อ.ส.ค. ส่งไปได้ทั่วโลก และพยายามทำให้เป็นฮาลาลด้วย โดยต้องปรับปรุงให้เป็นไปตามบทบัญญัติของโลก เพื่อหาช่องทางในการส่งออกไปตลาดโลกที่หลากหลายเพิ่มมากขึ้น    จากนั้นได้เยี่ยมชมโรงงานนมเชียงใหม่ที่ อ.ส.ค. ได้ขยายกำลังการผลิตนมพาสเจอร์ไรส์ โดยนำไปปรับปรุงในส่วนของโรงงาน ระบบการผลิต และเครื่องจักรใหม่ ปัจุบันการผลิตภัณฑ์นมพาสเจอร์ไรส์มีแนวโน้มการเติบโตเพิ่มสูงขึ้นตามความต้องการของตลาดอย่างต่อเนื่อง ดังนั้น การลงทุนในการปรับปรุงและการขยายไลน์ผลิตนมพาสเจอร์ไรส์ที่โรงงานนม อ.ส.ค. จังหวัดเชียงใหม่ จึงเป็นสิ่งสำคัญ เพราะทำให้รองรับปริมาณน้ำนมดิบจากสหกรณ์โคนมและเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมจากทางภาคเหนือได้มากขึ้น เนื่องจากปริมาณน้ำนมดิบภาคเหนือมีปริมาณเพียงพอและมีมากกว่ากำลังการผลิตเดิมที่เคยผลิตได้ 15 ตัน/วัน ขยายเป็น 30 ตัน/วัน     จึงทำให้ อ.ส.ค. สามารถรับซื้อน้ำนมดิบจากเกษตรกรได้มากขึ้นอีกเท่าตัว เมื่อกำลังการผลิตนมพาสจอร์ไรส์สูงขึ้น จะสามารถส่งผลิตภัณฑ์ออกสู่ตลาดเพิ่มขึ้นด้วย จึงเป็นการช่วยเพิ่มศักยภาพการแข่งขันในตลาดเชิงรุกให้แก่ตัวแทนจำหน่ายผลิตภัณฑ์นมไทย-เดนมาร์ค ที่สามารถกระจายผลิตภัณฑ์นมพาสเจอร์ไรส์ให้เข้าถึงและทั่วพื้นที่ภาคหนือ รวมถึงภูมิภาคอื่น ๆ ทั่วประเทศได้ นอกจากนี้ ผลิตภัณฑ์นมพาสจอร์ไรส์ไทย-เดนมาร์ค ยังมีการวางแผนที่จะขยายตลาดไปยังกลุ่มโรงแรม ร้านอาหาร ร้านกาแฟ ตลอดจนร้านนมต่าง ๆ ในพื้นที่ภาคเหนืออีกด้วย     ตามนโยบายของ นายกรัฐมนตรี (พลเอกประยุทธ จันทร์โอชา) ที่มีความห่วงใยเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนม จึงได้มอบหมายให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นำโดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน) ที่มอบหมายให้มาขับเคลื่อนนโยบายเพื่อดูแลพี่น้องเกษตรกรโคนมให้สามารถประกอบอาชีพได้อย่างมั่นคง และได้เล็งเห็นถึงความสำคัญของการจัดตั้งโรงงานแปรรูปผลิตภัณฑ์นมขนาดใหญ่ และจัดตั้งศูนย์เรียนรู้กิจการโคนมครบวงจร เพื่อรองรับปริมาณน้ำนมดิบที่คาดว่าจะเกินความต้องการในปี 2563 จึงได้มอบหมายองค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย (อ.ส.ค.) พิจารณาแนวทางการดำเนินการแก้ไขปัญหาดังกล่าว ได้แก่ 1) การจัดตั้งโรงงานแปรรูปผลิตภัณฑ์นม ที่ดำเนินการโดย อ.ส.ค. เพื่อรองรับผลผลิตน้ำนมดิบที่เพิ่มขึ้นตามที่รัฐบาลได้จัดทำโครงการเพิ่มศักยภาพการผลิตของเกษตรกรเป็นฟาร์มขนาดกลางและขนาดใหญ่ และ 2) การจัดตั้งศูนย์เรียนรู้กิจการโคนมครบวงจร ที่ประกอบด้วย ศูนย์ Feed Center เพื่อเป็นแหล่งสนับสนุนอาหารโคนมในราคาต้นทุนต่ำ ศูนย์เลี้ยงโคนมทดแทน เพื่อเป็นการแบ่งเบาภาระของเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมในการนำโคทดแทนมาเลี้ยงยังศูนย์แทน ตามข้อจำกัดด้านแรงงาน สร้างแรงจูงใจให้คนรุ่นใหม่สานต่ออาชีพของครอบครัว และการสร้าง Smart Farm เพื่อเป็นแหล่งเรียนรู้ ศึกษาดูงานด้านกิจการโคนมระดับนานาชาติ สำหรับการดำเนินการที่ผ่านมา ได้มีการแต่งตั้ง “คณะอนุกรรมการเพื่อศึกษาแนวทางและรูปแบบโครงการจัดตั้งโรงงานแปรรูปผลิตภัณฑ์นมและศูนย์เรียนรู้กิจการโคนมแบบครบวงจรภาคเหนือตอนบน อำเภอห้างฉัตร จังหวัดลำปาง” โดยมีที่ปรึกษาโครงการส่วนพระองค์สวนจิตรลดา (นายวิเชียร ผลวัฒนสุข) เป็นประธานอนุกรรมการ ซึ่งจากการดำเนินงานอย่างต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน ได้มีการพิจารณาพื้นที่ที่เหมาะสมในการจัดตั้งโครงการบริเวณเดียวกัน การศึกษาทบทวนโครงการพร้อมออกแบบโรงงานแปรรูปผลิตภัณฑ์นมฯ อีกทั้งยังได้มีการรับมอบสัญญาเช่าที่ราชพัสดุจากกรมธนารักษ์ โดยมีการลงนามข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) ระหว่างกรมพัฒนาที่ดิน กับ อ.ส.ค. เมื่อวันที 26 มิถุนายน 2562 ที่ผ่านมา ทั้งนี้ การเลี้ยงโคนมในพื้นที่จังหวัดภาคเหนือตอนบน ส่วนใหญ่อยู่ในพื้นที่ 3 จังหวัด คือ จังหวัดเชียงใหม่ ลำพูน และลำปาง ที่เป็นฐานการผลิตน้ำนมดิบที่สำคัญและคุณภาพดีที่สุดของประเทศไทย มีการรวมตัวกันจัดตั้งเป็นสถาบันเกษตรกร ประกอบด้วย สหกรณ์ผู้เลี้ยงโคนม 18 สหกรณ์ บริษัทเอกชน 4 แห่ง โรงงานนม 5 แห่ง มีเกษตรกรรวม 1,403 ราย จำนวนประชากรโดนมทั้งหมด 64,147 ตัว และมีปริมาณน้ำนมดิบที่ผลิตได้ 8,990 ตันต่อเดือน หรือ 299.7 ตันต่อวัน และมีแนวโน้มปริมาณน้ำนมดิบของสหกรณ์เพิ่มขึ้นทุกปีในปี 2559 เฉลี่ย 350 ตันต่อวัน โดยมีอัตราการเติบโตของน้ำนมดิบปริมาณในปี 2558 และ 2559 ประมาณ 5 – 6 เปอร์เซ็นต์ คาดว่าในปี 2563 จะมีปริมาณน้ำนมดิบประมาณ 400 ตันต่อวัน นอกจากนี้ ยังมุ่งหวังยกระดับคุณภาพชีวิตของเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนม จึงได้มีการจัดสรรงบประมาณของกรมส่งเสริมสหกรณ์ ในปี 2560 ให้สหกรณ์โคนมลำพูน จำกัด ตามโครงการพัฒนาการดำเนินธุรกิจและสินค้าของสหกรณ์ผู้เลี้ยงโคนม ภายใต้การเชื่อมโยงเครือข่ายธุรกิจและการตลาดภายใต้ห่วงโซ่การผลิตนมทั้งระบบ จำนวน 5.950 ล้านบาท เพื่อการดำเนินการโครงการธนาคารโคนมทดแทนฝูง เพื่อรับฝากลูกโคเพศเมีย และถอนคืนเป็นโคสาวท้อง เพื่อให้เกษตรกรสมาชิกลดภาระการเลี้ยงลูกโคในฟาร์ม เพิ่มประสิทธิภาพการผลิตจากการจัดการด้านอาหารที่เหมาะกับโคตามช่วงวัย ให้เกษตรกรสมาชิกมีแม่โคที่มีคุณภาพไปทดแทนโคนมปลดระวาง และลดต้นทุนการผลิต ส่งผลให้สมาชิกมีรายได้เพิ่มขึ้น ในปีงบประมาณ 2561 ได้จัดสรรงบประมาณจำนวน 2.934 ล้านบาท ในโครงการส่งเสริมการใช้เครื่องจักรกลทางการเกษตร โดยมีวัตถุประสงค์ คือ 1) เพื่อสนับสนุนเครื่องจักรกลทางการเกษตรให้กับสถาบันเกษตรกรเพื่อให้บริการแก่สมาชิก 2) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการของสถาบันเกษตรกรในการบริหารจัดการ และอำนวยความสะดวกในการให้บริการเครื่องจักรกลทางการเกษตรแก่สมาชิก โดยจัดหาอุปกรณ์พร้อมเครื่องผลิตอาหาร TMR ให้แก่ลูกโคสาวในโครงการธนาคารโคนมทดแทนฝูง การดำเนินการของสหกรณ์ ทำให้เกษตรกรสมาชิกมีรายได้จากการขาย/ฝากลูกโคให้แก่ธนาคาร เฉลี่ยตัวละ 18,388 บาท โคที่นำมาฝากธนาคารให้น้ำนมเร็วขึ้น 105 วัน ๆ ละ 14 กิโลกรัม ราคากิโลกรัมละละ 18 บาท เป็นเงิน 26,460 บาท มีรายได้จากการจำหน่ายน้ำนมวันละ 14 กิโลกรัม ราคากิโลกรัมละ 18 บาท ระยะเวลา 200 วัน เป็นเงิน 50,400 บาท รวมรายรับทั้งสิ้น 95,248 บาท สูงกว่าเกษตรกรที่เลี้ยงโคในฟาร์มของตนเองถึง 14,368 บาท และในด้านของรายจ่าย เกษตรกรสมาชิกมีรายจ่ายจากการถอนคืนโคสาวท้อง 5 เดือน จากธนาคารโคในราคาเฉลี่ย 45,114 บาทต่อตัว เลี้ยงต่ออีก 4 เดือน มีค่าใช้จ่ายเพิ่ม 8,197 บาท รวมค่าใช้จ่าย 53,311 บาทต่อตัว ซึ่งหากเปรียบเทียบการเลี้ยงโคในฟาร์มของเกษตรกรจนถึงผสมเทียมแล้วคลอด รวม 30 เดือน เกษตรกรจะมีค่าใช้จ่ายเฉลี่ย 60,000 บาทต่อตัว จะเห็นว่าสมาชิกที่นำโคมาฝากเลี้ยงในธนาคาร มีค่าใช้จ่ายต่ำกว่าเกษตรกรที่เลี้ยงโคในฟาร์มตนเองถึง 6,689 บาทต่อตัว อย่างไรก็ตาม ข้อดีของการเลี้ยงโคในธนาคารโคนมทดแทนฝูง ทำให้โคมีความอุดมสมบูรณ์พันธุ์ สุขภาพแข็งแรง ลดความเสี่ยงในการระบาดของโรค การผลิตน้ำนมดีขึ้นทั้งปริมาณและคุณภาพ น้ำนมมีคุณภาพสูง และน้ำนมที่ได้มีคุณภาพ ส่งผลให้เกษตรกรได้รับราคาที่ดีตามไปด้วย ทั้งนี้ สหกรณ์โคนมลําพูน จํากัด ได้เข้าร่วมโครงการระบบส่งเสริมการเกษตรแบบแปลงใหญ่ แปลงใหญ่โคนมตำบลห้วยยาบ ในปี 2561 มีจำนวนประชากรโคทั้งหมด 4,796 ตัว ประกอบด้วย โครีดนม 1,915 ตัว ปริมาณน้ำนมเฉลี่ย 12 – 13.05 กิโลกรัม/ตัว/วัน มีสมาชิกที่ส่งน้ำนมดิบให้สหกรณ์ จำนวน 91 ราย ได้รับมาตรฐานฟาร์ม (GAP) จำนวน 72 ราย สหกรณ์จะดำเนินการทำมาตรฐานฟาร์มให้แล้วเสร็จภายใน 30 เมษายน 2563 ปริมาณน้ำนมดิบที่รวบรวมได้ 23 – 25 ตัน/วัน สหกรณ์มีการทำ MOU ที่จะจำหน่ายให้แก่ผู้ประกอบการผลิตภัณฑ์นม ในปี 2562 – 2563 จำนวน 24.208 ตัน/วัน ได้แก่ บริษัทแดรีพลัส จำกัด 20 ตัน/วัน บริษัทซีพี เมจิ จำกัด 2.208 ตัน/วัน องค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทยสำนักงานภาคเหนือตอนล่าง (อ.ส.ค.) สุโขทัย 2 ตัน/วัน   รายการแนะนำ

เดินหน้ายกระดับคุณภาพชีวิตคนโคนม สานต่ออาชีพพระราชทาน Read More »

ตลาดสุกร และความต้องการเนื้อสุกร

    ฉบับที่แล้ว  เราคุยกันถึงเรื่องการผลิตไก่เนื้อทั่วโลก  ในฉบับนี้เราจะขอคุยเรื่องของตลาดสุกร และความต้องการเนื้อสุกรบ้างครับ  โดยใช้ข้อมูลอ้างอิงของ  บริษัท GENESUS  ซึ่งเป็นริษัทช้นนำของโลกเรื่องการปรับปรุงพันธุ์สุกร ดังนี้ครับ จากบทวิเคราะห์ของ  Mr.Jim Long ,CEO of Genesus  Inc.     ข้อสังเกตุของบริษัท  พบว่า โรงแปรรูปสุกรของสหรัฐเอง มีการผลิต ถึง 2,713,000 ตัน ในสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งเพิ่มขึ้นจากช่วงวันหยุดในเทศกาลปีใหม่  ซึ่งทางบริษัทเคยคาดการณ์ว่า ตลาดน่าจะลดลง  แต่ก็ไม่เป็นตามที่คาดการณ์     ราคลูกสุกร  หย่านม ในสหรัฐ  อยู่ที่ 61.46 Dollars  ในขณะที่ ลูกสุกร น้ำหนัก 40 ปอนด์ เพิ่มขึ้น 6 dollars เป็น 67.60 Dollars  ซึ่งเกิดจากความต้องการที่เพิ่มมากกว่า 70%      การส่งออกสุกรของสหรัฐ ในเดือนพฤศจิกายน 2562 ก็สามารถทำสถิติสูงสุดที่เคยมีมาก่อนหน้านี้ โดยเพิ่มขึ้น 26%  เมื่อเทียบกับปีก่อน  และเพิ่มขึ้น 11% เมื่อเทียบกับเดือนกรกฏาคม 2562 ที่เคยส่งออกสูงสุดมาแล้ว ในเดือนพฤศจิกายน 2562 มีการส่งออกสูงถึง 259,812 ตัน  หรือคิดเป็นสุกรมากกว่า 3  ล้านตัว  โดยมีตลาดใหญ่อยู่ที่ฮ่องกง ถึง 86,213 ตัน ซึ่งเพิ่มขึ้นถึง 284% จากปีที่ผ่านมา         สัปดาห์ที่3 ของเดือนมกราคม  รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรของเยอรมนี  รายงานว่ามีการระบาดของโรคอหิวาห์อัฟริกาในสุกร(ASF) ในประเทศโปแลนด์ ซึ่งห่างจากชายแดนเยอรมนีเพียงแค่ 20 กิโลเมตร  ถ้าหากว่า โรคนี้ระบาดเข้ามาในเยอรมนี  การเปลี่ยนแปลงจะเกิดขึ้น ผลกระทบจะมีมาก  เนื่องจาก ประเทศจีนนำเข้าสุกรจากเยอรมัน 16 – 18%  ของการนำเข้าสุกรทั้งหมด  ซึ่งปัจจุบัน ทางประเทศจีนงดเว้นการนำเข้าสุกรจากประเทศ รัสเซีย,โปแลนด์,ยูเครน เป็นต้น    สนธิสัญญาว่าด้วยเรื่องภาษีการค้าระหว่างสหรัฐกับจีน เฟศแรก ที่จะมีขึ้นในวันที่ 15 มกราคม 2563 นี้ คาดว่าเรื่องสุกรและสินค้าเกษตรน่าจะเป็น หัวข้อหลักในสนธิสัญญานี้  หลังจากการเซ็นสัญญา คาดว่ารายละเอียดคงตามมา   สรุปภาวะตลาดสุกร ปี 2019  ดังนี้   สืบเนื่องจากความต้องการท่สูงขึ้นของจีน ทำให้ราคาสุกรเพิ่มขึ้น ทำให้ผู้ผลิตสุกรในประเทศฝรั่งเศษ ทำกำไรได้มากที่สุดในปี 2019  นับตั้งแต่ปี 1992 เป็นต้นมา  ราคาเนื้อสุกรเฉลี่ยอยู่ที่ 1.496 ปอนด์ต่อกิโลกัม(carcass) หรือ 1.669 ดอลล่าร์ สหรัฐ เมื่อเปรียบเทียบกับปี 2018  เพิ่มขึ้น 30 เซน ต่อกิโลกัม หรือ ราวๆ25%   ราคาลูกสุกรหย่านม น้ำหนัก 25 กิโลกรัม  อยู่ที่ 2.20 ปอนด์ต่อกิโลกรัม (2.45 ดอลล่าร์)   สิ่งที่คาดการณ์ในปี 2020 คือ?   ราคาเนื้อสุกรยังคงยืนแข็งตัวต่อเนื่อง จากสาเหตุของโรคระบาดอหิวาห์แอฟริกาในสุกร  ที่ระบาดทั่วไปในประเทศจีน เวียตนาม  เกาหลีใต้   ส่วนในประเทศทางยุโรป เช่น เยอรมนี   ฝรั่งเศษ  คงต้องมีการเข้มงวดเรื่องของการป้องกันโรค ASF  อย่างเต็มที่

ตลาดสุกร และความต้องการเนื้อสุกร Read More »

การเลี้ยงไก่เนื้อของโลกปี 2020

        สวัสดีท่านผู้อ่านและติดตามข่าวสารจากทางบริษัท ซีพีเอฟ (ประเทศไทย) จำกัด  เริ่มต้นปีด้วยข่าวสารที่ใกล้ตัว ท่านเกษตรผู้เลี้ยงไก่เนื้อ       ภาพการเลี้ยงไก่เนื้อของโลกในปี2020  นี้  จากข้อมูลการวิเคราะห์ของ RABOBANK  โดย  Mr.Nandirk  Mulder , Senior  animal  protein analyst ได้วิเคราะห์ภาพรวมของธุรกิจไก่เนื้อ ทั่วโลก ในปี 2020 ว่า  ในปีนี้การเลี้ยงไก่เนื้อมีการขยายตัวเล็กน้อย(1-2%)เมื่อเทียบกับปี 2019 ซึ่งเป็นการเติบโตอย่างต่อเนื่องจากปี 2018 ถึง2020 โดยมีแรงขับเคลื่อนที่สำคัญสืบเนื่องจาก ปัญหาโรคระบาด ASF ในสุกร ที่ระบาดในประเทศจีนอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ กันยายน  2018  ทำให้เกิดความต้องการไก่เนื้อเพื่อเป็นอาหารโปรตีนทดแทน เนื้อสุกร ประเทศที่มีการระบาดของ โรค ASF เช่น  จีน ,เวียตนาม ,เกาหลีใต้ และฟิลิปปินส์     จากภาวะของโรคระบาดดังกล่าว ส่งผลให้ราคาไก่เนื้อในส่วนของ น่องและปีก ขยับตัวสูงขึ้น ตลอดจนเนื้อโค ก็เช่นเดียวกัน ประเทศที่มีการส่งออกเพิ่มมากขึ้น  แก่ รัสเซีย ,ยูเครน ,บราซิล ในขณะที่สหรัฐเองก็มีความพยายามที่จะกลับมาส่งออกมายังประเทศจีนเช่นกัน  แต่เนื่องจากทั้งสหรัฐและจีน  ยังคงมีปัญหาเรื่องการค้า และภาษีทางการค้าอยู่ ทำให้สหรัฐเองยังไม่สามารถส่งเนื้อน่องและปีก  เข้าจีนได้  แม้กระนั้นราคาเนื้อน่องและปีกในสหรัฐเองก็ปรับตัวสูงขึ้น 37 – 39 % เมื่อเทียบกับปีก่อน  ส่วนเนื้ออกไม่มีกระดูก  อ่อนตัวเล็กน้อย  จาการที่ทั่วโลกมีการขยายการเลี้ยงไก่เนื้อ เพิ่มขึ้น 1.5%          ในส่วนประเทศบราซิลที่มีการผลิตไก่เนื้อเป็นอันดับต้นๆของโลก มีการขยายการส่งออกไปที่ประเทศซาอุดิอาระเบีย ในปี2019 เพิ่มขึ้นถึง 9% เมื่อเทียบกับปี 2019                จากข้อมูลวิเคราะห์ของทาง RABOBANK คาดการได้ว่า ราคาอาหารโปรตีน เช่นเนื้อไก่และสุกร  จะมีราคาค่อนข้างดี ในปี 2020  นี้  ซึ่งนับว่าเป็นข่าวดีสำหรับผู้เลี้ยงสุกรและผู้เลี้ยงไก่เนื้อในประเทศเช่นเดียวกัน  เพราะถ้าต่างประเทศมีความต้องการมากขึ้น  โอกาสในการส่งออกไก่เนื้อและสุกรของประเทศไทยก็มีมากขึ้น  ซึ่งจะส่งผลให้ราคาในประเทศดีด้วยครับ    

การเลี้ยงไก่เนื้อของโลกปี 2020 Read More »

ก เอ๋ย ก ไก่ ปลอดภัย ไร้ยา

ก เอ๋ย ก ไก่ ปลอดภัย ไร้ยา    คุณเคยผ่านตากับข้อมูลเหล่านี้ไหม ผู้หญิงไม่ควรกินปีกไก่ เพราะเวลาฉีดฮอร์โมนเร่งโตมักจะฉีดที่บริเวณคอหรือปีกไก่ ทำให้มีสารตกค้าง เสี่ยงต่อการเป็นซีสต์ในมดลูก หรือไม่ควรกินเนื้อไก่มากเกินไป เพราะในการเลี้ยงไก่มีการใช้ยาปฏิชีวนะจำนวนมาก ทำให้เกิดพิษตกค้างในตับและไตของมนุษย์ แถมยังทำให้เกิดเชื้อดื้อยาในมนุษย์ด้วย ข้อมูลที่ส่งต่อกันมาเหล่านี้เป็นเรื่องจริงหรือมั่ว ชัวร์หรือไม่ เมื่ออ่านบทความนี้จบ คุณจะพบคำตอบเอง      ไก่ไทย มาตรฐานส่งออก   รู้ไหมเอ่ย…ประเทศไทยส่งออกเนื้อไก่สูงเป็นอันดับ 4 ของโลก ข้อมูลเมื่อ พ.ศ. 2558 ประเทศไทยส่งออกไก่สด ไก่แช่เย็น ไก่แช่แข็ง ไก่แปรรูปรวมๆ แล้วมากถึง  6 แสนตัน คิดเป็นมูลค่าถึง 78,000 ล้านบาท ซึ่งประเทศคู่ค้าสำคัญก็คือ ญี่ปุ่นและสหภาพยุโรป ซึ่งประเทศเหล่านี้มีข้อกำหนดและมาตรฐานด้านความปลอดภัยของอาหารสูงมาก อย่างอียูนั้นมีกฎหมายห้ามใช้ยาปฏิชีวนะและสารเร่งการเจริญเติบโตในไก่เนื้อเพื่อการบริโภคอย่างเด็ดขาดมาร่วม 10 ปี ประเทศไทยจึงต้องมีกฎหมาย กฎระเบียบต่างๆ อย่างเข้มงวดเพื่อรองรับ ทั้งมาตรฐานฟาร์ม มาตรฐานโรงงาน ตลอดจนกระบวนการตรวจสอบรับรอง เพื่อให้เป็นไปตามกฎเกณฑ์ของประเทศคู่ค้า เป็นกฎเหล็กทางกฎหมายที่ไม่มีผู้ประกอบการไก่เนื้อเจ้าใดกล้าละเมิดแน่นอน เพราะมีระบบการตรวจสอบย้อนกลับ หากพบสารต้องห้าม สามารถรู้ได้เลยว่ามาจากประเทศไหน ฟาร์มไหน นั่นอาจหมายถึงการถูกตีกลับ ไปถึงขั้นห้ามนำเข้าไก่เนื้อจากเมืองไทยทั้งหมด ถ้าเป็นแบบนั้นก็งานเข้ากันทั้งประเทศเลยล่ะทีนี้    หน่วยงานหลักของประเทศไทยที่มีบทบาทสำคัญในเรื่องนี้ก็คือ กรมปศุสัตว์ นายสัตวแพทย์สมชวน รัตนมังคลานนท์ ผอ. สำนักพัฒนาระบบและรับรองมาตรฐานสินค้าปศุสัตว์ กรมปศุสัตว์ เคยให้สัมภาษณ์กับรายการชัวร์ก่อนแชร์สำนักข่าวไทยว่า    “ในฐานะที่ผมเป็นสัตวแพทย์และดูแลด้านกระบวนผลิต ผู้บริโภคสบายใจได้ เนื้อไก่ในประเทศไทยไม่มีการใช้สารเร่งแน่นอน การผลิตทุกวันนี้เป็นการผลิตที่เกิดจากการปรับปรุงพันธุ์ การพัฒนาอาหารสัตว์เพื่อให้ไก่เจริญเติบโตได้ดีและไทยเป็นประเทศส่งออกไปขายทั่วโลก ถ้าทำไม่ถูกต้องตามมาตรฐานหรือมีปัญหาเรื่องความปลอดภัย เราก็จะไม่สามารถส่งออกได้ เรื่องที่แชร์กันว่า ไก่ไทยใช้ฮอร์โมนเร่งโตไม่จริงแน่นอน เพราะผิดกฎหมาย”    นอกจากจะผิดกฎหมายแล้ว หากคิดจะฉีดสารเร่งโตกันจริงๆ ตามข้อมูลที่แชร์ต่อกันมาต้องฉีดเป็นรายตัวและฉีดอย่างต่อเนื่อง ลองคิดดูว่าถ้าฟาร์มหนึ่งมีไก่สามสี่หมื่นตัวจะทำอย่างไร ต้นทุนการเลี้ยงจะสูงเกินไป ไม่คุ้มค่าที่จะทำ    ในส่วนประเทศไทย กระทรวงสาธารณสุขได้มีคำสั่งกระทรวงฯ ที่  417/2529  มาตั้งแต่พ.ศ. 2529 (นับนิ้วมาถึงปัจจุบันก็ 31 ปีแล้ว) ประกาศห้ามใช้ยาเฮ็กโซเอสตรอล (Hexoestrol) ซึ่งเป็นยาที่ใช้สำหรับตอนสัตว์ปีกและเป็นฮอร์โมนสำหรับรักษาสัตว์ ซึ่งยาที่ห้ามก็คือ สารเร่งการเจริญเติบโตนั่นเอง จึงเป็นไปไม่ได้เลยที่อุตสาหกรรมไก่เนื้อจะใช้ฮอร์โมนเร่งการเติบโต เพราะผิดกฎหมายชัวร์ๆ และยานี้ห้ามจำหน่ายในประเทศไทย ถ้าอยากใช้ก็ต้องลักลอบนำเข้า     ไก่ปลอดยา คนปลอดภัย สำหรับเรื่องการใช้ยาปฏิชีวนะ ในปัจจุบัน มีกำหนดระเบียบการเลี้ยงสัตว์ตามหลักสวัสดิภาพสัตว์(Animal Welfare) คุ้มครองอยู่คือ ใช้เพื่อรักษาสัตว์ป่วย และใช้อย่างมีเหตุผลเท่านั้น โดยจะต้องอยู่ภายใต้การดูแลควบคุมของสัตวแพทย์ และต้องมีระยะหยุดใช้ยาจนไก่ปลอดภัยจากสารตกค้างจึงจะถูกส่งเข้ากระบวนการแปรรูปต่อไป แถมก่อนส่งออกจะต้องผ่านการตรวจสอบและรับรองว่าปลอดภัยจากเชื้อดื้อยาจากกรมปศุสัตว์ เพราะประเทศไทยและประเทศคู่ค้าอย่างสหภาพยุโรป (อียู) ญี่ปุ่น ตะวันออกกลาง มีข้อตกลงร่วมกันในเรื่องระบบการป้องกันการใช้ยาปฏิชีวนะและการตรวจสอบสารตกค้างในอาหาร     แต่ถ้าจะทำให้ไก่ปลอดยาปฏิชีวนะตลอดกระบวนการเลี้ยงเลยล่ะ จะทำได้ไหม     ทำได้สิเพราะหัวใจหลักของการไม่ใช้ยาปฏิชีวนะต้องย้อนกลับมาที่พื้นฐานที่สุด ก็คือ “ทำอย่างไรให้สัตว์แข็งแรง ไม่เจ็บป่วย” (ไม่ต่างจากคน ไม่ป่วยก็ไม่ต้องกินยา)    หลักการเลี้ยงไก่ให้ปลอดยาปฏิชีวนะนั้น ต้องมีการควบคุมตลอดกระบวนการผลิต เริ่มกันตั้งแต่ต้นทางที่เกษตรกรคัดแยกลูกไก่จากฟาร์มพ่อแม่พันธุ์ที่ไม่มีปัญหาสุขภาพ มีอายุไข่ที่เหมาะสม มีการฆ่าเชื้อไข่ฟัก การจัดการโรงฟักที่ดี จนถึงการบริหารจัดการไก่ภายในโรงเรือนก็เป็นปัจจัยสำคัญ คือต้องมีระบบป้องกันโรค (Biosecurity) ที่เข้มงวด ต้องล้างทำความสะอาดและฆ่าเชื้อโรงเรือนก่อนนำไก่เข้าเล้า ตรวจสอบเชื้อโรคที่ปนเปื้อนมากับแกลบหรือวัสดุที่ใช้รองพื้นเล้า ระหว่างการเลี้ยงก็ต้องดูแลให้อุณหภูมิในโรงเรือนมีความเหมาะสมและทั่วถึงไก่ทุกตัว  มีการเก็บอาหารสัตว์ในที่มิดชิด ป้องกันสัตว์และสิ่งปนเปื้อน รวมถึงมีระบบการตรวจสอบที่เข้มงวดอย่างสม่ำเสมอ   “หัวใจสำคัญของการเลี้ยงไก่ปลอดการใช้ยาปฏิชีวนะ  เริ่มจากเกษตรกรจะต้องเพิ่มการดูแลไก่ในโรงเรือนอย่างใกล้ชิดมากขึ้น โดยไม่ละเลยข้อปฏิบัติเล็กๆ น้อยๆ เพื่อป้องกันการติดเชื้อและการปนเปื้อนทุกอย่างอย่างเข้มงวด” นายสัตวแพทย์นรินทร์ ร่มลำดวน รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส สำนักเทคนิคและวิชาการสัตว์บก บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือซีพีเอฟ เล่าถึง “โครงการนำร่องเลี้ยงไก่ไม่ใช้ยาปฏิชีวนะ” ซึ่งซีพีเอฟดำเนินการมาตั้งแต่พ.ศ. 2557 ปัจจุบันโครงการนี้ประสบผลสำเร็จน่าพอใจ จึงนำความรู้ชุดนี้มาเผยแพร่สู่เจ้าหน้าที่และเกษตรกรในโครงการส่งเสริมอาชีพเกษตรกร รายย่อย (Contract Farming) ให้นำหลักการเลี้ยงไก่ปลอดยาปฏิชีวนะไปใช้ได้ทุกฟาร์ม โดยมีเป้าหมายให้ฟาร์มทุกแห่งทั่วประเทศปลอดการใช้ยาปฏิชีวนะได้ภายในพ.ศ. 2561    ถ้าสามารถป้องกันอย่างเข้มงวดไม่ให้ไก่มีโอกาสเสี่ยงต่อการติดเชื้อ ก็ไม่จำเป็นต้องใช้ยาปฏิชีวนะ และไก่สามารถดำรงสุขภาพอย่างแข็งแรงได้ตั้งแต่ฟักเป็นตัว กระทั่งเข้าสู่โรงงานแปรรูป จนถูกเสิร์ฟบนโต๊ะอาหาร “บริษัทฯ จะนำความสำเร็จของโครงการนี้ เป็นแนวทางปฏิบัติกับธุรกิจเลี้ยงไก่เนื้อในทุกประเทศที่บริษัทไปลงทุน เพื่อยกระดับมาตรฐานอุตสาหกรรมไก่เนื้อให้สูงขึ้น และเป็นที่ยอมรับและมั่นใจของผู้บริโภคทั่วโลก”     นายสัตวแพทย์นรินทร์ย้ำจุดหมายปลายทาง ซึ่งหมายความว่าไอเดียของคนไทย บริษัทไทย จะกลายเป็นต้นแบบการเรียนรู้ให้กับประเทศอื่นๆ ด้วย ซึ่งบรรทัดสุดท้ายของความสำเร็จนี้  ก็เพื่อส่งต่อสุขภาพที่ดีผ่านอาหารที่ปลอดภัย (Food Safety) ให้กับผู้บริโภคคนไทยและคนทั่วโลกนั่นเอง    กะเพราไก่ ไก่ย่าง ไก่ทอด ลาบไก่ ยำไก่ ไก่เทอริยากิ ฯลฯ แค่คิดก็หิวแล้ว     เมื่อมาถึงบรรทัดนี้ข้อควรระวังของการบริโภคไก่ คงไม่ใช่เรื่องสารเร่งโตหรือสารปฏิชีวนะตกค้าง แต่น่าจะเป็นเรื่องการกินอาหารให้สมดุล กินหลากหลาย ครบทุกหมู่ กินผักบ้าง และอย่ากินมากเกินไป เดี๋ยวอ้วน นะเออ    

ก เอ๋ย ก ไก่ ปลอดภัย ไร้ยา Read More »

เว็บไซต์นี้มีการจัดเก็บคุกกี้เพื่อมอบประสบการณ์การใช้งานเว็บไซต์ให้แก่ท่านได้ดียิ่งขึ้น รวมถึงทำให้สามารถมอบข้อเสนอ กิจกรรมส่งเสริมการขาย เลือกเนื้อหาให้เหมาะสมแก่ท่านอย่างเป็นส่วนตัวได้ การเก็บและใช้งานคุกกี้สามารถศึกษาได้ที่นโยบายการใช้คุกกี้นี้ การใช้งานเว็บไซต์นี้จะมีการจัดเก็บคุกกี้ประเภทต่าง ๆ ซึ่งท่านต้องยอมรับและยินยอมให้บริษัทฯ จัดเก็บ. (เรียนรู้เพิ่มเติม)