Logo-CPF-small-65png

ข่าวสารทั่วไป

สุกรไทย’ ยืนหนึ่งเอเชีย ‘PRRS-ASF’ ไม่ติดคน

   แม้สุกรไทยจะยืนหนึ่งเป็นสุกรที่มีมาตรฐานสูงของเอเชีย แต่ก็มีข่าวเกี่ยวกับโรคระบาดเกิดขึ้นมากมาย ทั้ง AFS และ PRRS ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นการติดเชื้อในสุกรเท่านั้น พาไปทำความรู้จักกับ 2 โรคของสุกรกันว่าแตกต่างกันอย่างไร? แม้สุกรไทยจะยืนหนึ่งเป็นสุกรที่มีมาตรฐานสูงของเอเชีย แต่กลับมีข่าวเท็จเกี่ยวกับโรคระบาดในสุกรเผยแพร่ผ่านสื่อออนไลน์หลายครั้ง อาทิ ข่าวสุกรป่วยเป็นเอดส์ ทั้งที่ข้อเท็จจริงคือโรคเอดส์ไม่ใช่โรคของสุกร และไม่มีโรคนี้ในตำราทั้งไทยและเทศ ซึ่งเป็นไปได้ว่าข่าวเท็จที่เกิดขึ้นนี้มุ่งหวังเพื่อทำให้สูญเสียเสถียรภาพราคาสุกร เนื่องจากจะทำให้ผู้บริโภคจำนวนหนึ่งตระหนก เป็นผลให้พ่อค้าคนกลางอ้างภาวะตลาด และกดราคาสุกรมีชีวิตหน้าฟาร์มของเกษตรกร แต่นำไปขายต่อในราคาเนื้อสุกรที่ปรับสูงขึ้น โดยอ้างว่าสุกรตายมากเนื่องจากโรคระบาด ทำให้พ่อค้าได้กำไรแต่เกษตรกรผู้เลี้ยงขาดทุน  หรือแม้แต่กรณีโรคพีอาร์อาร์เอส ซึ่งพบล่าสุดในรอบ 2 สัปดาห์ที่ผ่านมาใน 2 อำเภอ จ.สระแก้ว นำมาสู่การทำลายสุกรโดยการฝังกลบแล้ว 600 ตัว หลังจากพบการระบาดของโรค และโรคเอเอสเอฟที่เกิดขึ้นในภูมิภาคนี้ ทำให้ผู้บริโภคเกิดความตระหนก และเกรงว่าจะติดต่อสู่คนได้จากการบริโภคเนื้อสุกรและผลิตภัณฑ์ จึงขอยืนยันซ้ำอีกครั้งว่าโรคทั้งสองของสุกรนี้ไม่ติดต่อสู่คน และขออธิบายเพื่อความเข้าใจที่ถูกต้อง ดังนี้ โรค PRRS (พีอาร์อาร์เอส หรือเพิร์ส) เป็นโรคติดต่อในสุกรเท่านั้น เกิดจากเชื้อไวรัส ก่อให้เกิดผลกระทบทั้งระบบสืบพันธุ์และระบบทางเดินหายใจของสุกร โรคนี้พบราวปี 2523 จนกระทั่งปี 2534 ได้มีการบัญญัติชื่อโรคนี้ว่า Porcine Reproductive and Respiratory Syndrome หรือ PRRS โรคนี้พบได้ทั่วโลกรวมถึงประเทศไทย สำหรับการป้องกันนั้นปัจจุบันมีวัคซีนจำหน่าย ทั้งนี้โรคนี้ไม่เคยมีรายงานการติดต่อสู่คน จึงไม่ต้องกังวลต่อการบริโภค ข่าวเท็จที่ส่งต่อกันมานั้นจะเชื่อมโยงโรค PRRS กับโรคเอดส์ โดยอ้างว่าสุกรเป็นเอดส์ห้ามบริโภค ทั้งสองโรคนี้เหมือนกันที่ไวรัสก่อโรคเป็นชนิด RNA สำหรับความแตกต่างระหว่างโรค PRRS กับโรคเอดส์มีหลายประการ  สิ่งแรกคือ ไวรัสก่อโรคเป็นคนละชนิดกัน อาการของโรคก็แตกต่างกัน แม้ว่าไวรัสทั้งสองนี้จะโจมตีระบบภูมิคุ้มกัน แต่โรค PRRS จะมีอาการหลัก 2 ระบบคือระบบสืบพันธุ์และระบบทางเดินหายใจ กล่าวคือแม่สุกรจะพบปัญหาระบบสืบพันธุ์เป็นหลัก ขณะที่สุกรขุนจะมีปัญหาระบบทางเดินหายใจ ต่างจากโรคเอดส์ที่ทำให้ภูมิคุ้มกันอ่อนแอลง เสี่ยงต่อการติดเชื้อระบบต่างๆ ไม่เน้นระบบใดระบบหนึ่ง ดังนั้น โรค PRRS จึงไม่ใช่โรคเอดส์ในสุกร และไม่ติดต่อก่อโรคในคน ส่วนโรค ASF (เอเอสเอฟ) เป็นโรคจากเชื้อไวรัสเก่าแก่โรคหนึ่งของสุกร พบครั้งแรกปี 2452 ที่ประเทศเคนยา มีชื่อเต็มว่า African Swine Fever เนื่องจากชื่อโรคภาษาอังกฤษตรงกับโรคสุกรโรคหนึ่งคือ “Swine Fever” หรือ “Classical Swine Fever” (CSF) โดยโรคนี้มีอีกชื่อหนึ่งว่า hog cholera ซึ่งคำว่า cholera แปลว่า “อหิวาตกโรค” ดังนั้น จึงบัญญัติชื่อโรค ASF ภาษาไทยว่า “โรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกร”  โรคนี้ยังไม่มียาและวัคซีน เป็นโรคที่สร้างความเสียหายแก่การเลี้ยงสุกรอย่างมาก หลายประเทศที่มีโรคนี้ระบาด ทำให้สุกรตายอย่างใบไม้ร่วง และยากที่จะกำจัด ด้วยชื่อโรคทำให้เกิดความสับสนและเข้าใจผิดว่าโรคนี้จะติดต่อสู่คนได้ และก่อให้เกิดโรคอหิวาตกโรค เนื่องจากชื่อโรคมีคำว่า “อหิวาต์” ซึ่งเป็นโรคที่ร้ายแรงในคน เป็นแล้วมีโอกาสเสียชีวิตได้ จึงทำให้ผู้ไม่หวังดีสร้างข่าวเท็จ  ทั้งนี้ โรคอหิวาตกโรคเกิดจากเชื้อแบคทีเรีย ขณะที่โรค ASF เกิดจากเชื้อไวรัสและมีมานานกว่าร้อยปี แต่ยังไม่มีรายงานว่ามีผู้ป่วยจากการติดเชื้อไวรัสโรคนี้ ดังนั้น จึงไม่ใช่โรคอหิวาตกโรค และไม่ติดต่อก่อโรคในคน โรค ASF มีการระบาดในประเทศจีนเมื่อปี 2561 ทำให้โรคนี้มีความสำคัญต่อประเทศไทยมากขึ้น อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยมีการเตรียมความพร้อมไว้ล่วงหน้าแล้ว มีมาตรการการเฝ้าระวังและป้องกันโรค โรคนี้ระบาดเข้าสู่ประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ได้แก่ เวียดนาม ลาว กัมพูชา ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย และเมียนมา ทำให้ไทยเป็นประเทศเดียวที่ยังคงป้องกันโรคนี้ได้ และยังไม่มีการระบาด ด้วยการร่วมแรงร่วมใจกันทุกภาคส่วนทั้งหน่วยงานรัฐ (นำโดยกรมปศุสัตว์) หน่วยงานเอกชน (ฟาร์มสุกร) มหาวิทยาลัย และสัตวแพทย์สุกร ความที่โรคนี้ยังไม่สามารถพัฒนาวัคซีนเพื่อใช้ป้องกันโรคได้ ไม่มียาฆ่าเชื้อไวรัส ดังนั้น แนวทางเดียวคือการรักษาความปลอดภัยทางชีวภาพ (biosecurity) ประเทศไทยสามารถดำรงสถานภาพการเป็นประเทศปลอดโรค ASF ได้ จึงส่งผลดีต่อธุรกิจการเลี้ยงสุกรและเศรษฐกิจของประเทศ ช่วยสร้างรายได้ให้กับประเทศด้วยการส่งออกสุกรมีชีวิต เนื้อสุกรและผลิตภัณฑ์ ลดภาระของรัฐบาลในภาวะเศรษฐกิจถดถอยได้เป็นอย่างดี

สุกรไทย’ ยืนหนึ่งเอเชีย ‘PRRS-ASF’ ไม่ติดคน Read More »

ซีพีเอฟ”รุกธุรกิจสีเขียว เพิ่มสัดส่วนรายได้แตะ 30%

ซีพีเอฟ คาด ตลาดผลิตภัณฑ์สีเขียวมีแนวโน้มขยายตัวสูง เน้นลดใช้พลังงานและทรัพยากร พัฒนาผลิตภัณฑ์สีเขียวต่อเนื่อง เพื่อตอบโจทย์ความต้องการผู้บริโภค ตั้งเป้าเพิ่มรายได้สีเขียว (Green Revenue) เป็น 30% ในปี 2563      นายเรวัต หทัยสัตยพงศ์ รองกรรมการผู้จัดการบริหาร ธุรกิจอาหารสัตว์บก บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ เปิดเผยว่า ซีพีเอฟ ให้ความสำคัญกับการพัฒนาผลิตภัณฑ์สีเขียว หรือ ผลิตภัณฑ์ยั่งยืนอย่างต่อเนื่อง ซึ่งการจัดทำคาร์บอนฟุตพริ้นท์ของผลิตภัณฑ์และฉลากลดโลกร้อน จะเป็นส่วนสำคัญในการบรรลุการเพิ่มสัดส่วนรายได้สีเขียวเป็น 30% ของรายได้รวมซีพีเอฟในปีนี้ แสดงให้เห็นว่ารายได้ของซีพีเอฟมาจากกลุ่มผลิตภัณฑ์สีเขียวเพิ่มขึ้นทุกปี ซึ่งผลิตภัณฑ์กลุ่มนี้เป็นสินค้าที่ช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมที่สอดคล้องกับความต้องการของผู้บริโภคทั่วโลก สำหรับกลุ่มผลิตภัณฑ์สีเขียวของบริษัทฯ เป็นสินค้าที่ได้รับการรับรองฉลากคาร์บอนฟุตพริ้นท์ ฉลากลดโลกร้อน จากองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) หรือ อบก. และฉลากวอเตอร์ฟุตพริ้นท์ตามาตรฐาน ISO 14046 จากสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) โดยซีพีเอฟมีสินค้าที่ได้รับการรับรองทั้ง 3 ประเภท จำนวน 770 รายการ สำหรับปี 2563 อบก.ได้รับรองผลิตภัณฑ์อาหารไก่เนื้อของ ซีพีเอฟ 6 รายการ ได้รับฉลากลดโลกร้อน สามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ 77,500 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าในปี 2562 หรือเท่ากับการปลูกต้นไม้ 1.28 ล้านต้น ซึ่งอาหารสัตว์ของซีพีเอฟ นอกจากจะให้ความสำคัญกับคุณค่าทางโภชนาการของสัตว์แล้ว ยังคำนึงถึงการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่เป็นสาเหตุของภาวะโลกร้อน รวมถึงผลิตภัณฑ์ซอสพริกและซอสมะเขือเทศ 8 รายการ ได้รับการรับรองฉลากคาร์บอนฟุตพริ้นท์ นอกจากนี้ อบก.ได้มอบประกาศนียบัตรคาร์บอนฟุตพริ้นท์ขององค์กรให้ซีพีเอฟ ซึ่งซีพีเอฟให้ความสำคัญกับการลดปริมาณก๊าซเรือนกระจก เพื่อให้มีการปล่อยและดูดกลับก๊าซเรือนกระจกที่เกิดขึ้นจากกิจกรรมการดำเนินงานขององค์กรทั้งการผลิตและการบริการขององค์กร ตลอดจนกิจกรรมลดก๊าซคาร์บอนไดอ๊อกไซด์ เช่น คาร์บอนนิวทรัลส่วนบุคคล (Carbon Neutral Man) บุคลากรของซีพีเอฟและเครือเจริญโภคภัณฑ์ 36 คน การชดเชยคาร์บอนในงาน Carbon Neutral Event คือ “CPF Run for Charity at Fort Adisorn 2020” การชดเชยการปล่อยคาร์บอนส่วนบุคคลไป 108 ton Co2 eq. ในปี 2563 รวมทั้งมีหน่วยงานที่ผ่านการรับรองในโครงการ Low Emission Support Scheme (LESS) ทั้งหมด 60 หน่วยงาน โดยมีการปลูกต้นไม้รวม 16,910 ต้น กักเก็บคาร์บอนไดอ๊อกไซด์ได้ 6,000 ตันคาร์บอนไดอ๊อกไซด์ เทียบเท่า ช่วยบรรเทาผลกระทบจากภาวะโลกร้อนสู่การเป็น “องค์กรคาร์บอนต่ำ”    นายวุฒิชัย สิทธิปรีดานันท์ รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส ด้านความรับผิดชอบต่อสังคมและการพัฒนาอย่างยืน ซีพีเอฟ กล่าวว่า นอกจากการมีส่วนร่วมในกิจกรรมเพื่อลดผลกระทบสิ่งแวดล้อมแล้ว ซีพีเอฟยังคงเดินหน้านโยบายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในกระบวนการผลิตอย่างต่อเนื่อง เช่น จากการใช้พลังงานหมุนเวียน การลดการสูญเสียอาหารและขยะ อาหาร การเพิ่มประสิทธิภาพการใช้น้ำตลอดกระบวนการผลิต ลดการใช้บรรจุภัณฑ์พลาสติกที่ไม่จำเป็นตลอดห่วงโซ่คุณค่า รวมทั้งสนับสนุนการนำทรัพยากรทุกส่วนไปใช้ให้เกิดประโยชน์โดยไม่เหลือทิ้ง ทั้งนี้ส่งผลให้บรรลุเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในปี 2562 แล้ว 15% เทียบกับปีฐานปี 2558 ซึ่งเร็วกว่าที่กำหนดไว้เดิมในปี 2563 และเดินหน้าสู่เป้าหมาย 25% ในปี 2568 ซีพีเอฟ ยังคงดำเนินธุรกิจตามทิศทางและเป้าหมายความยั่งยืนของเครือเจริญโภคภัณฑ์ปี 2573 สู่การเป็นหนึ่งในผู้นำของโลกด้านความยั่งยืน คือ การมุ่งสู่การเป็นองค์กร Zero Waste ลดขยะและของเสียให้เป็นศูนย์ และการมุ่งสู่การเป็นองค์กร Carbon Neutral “การจัดกิจกรรมลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดอ๊อกไซด์ เพื่อรณรงค์ให้ทุกภาคส่วนมีส่วนร่วมในการลดปัญหาภาวะโลกร้อนอย่างยั่งยืน ขณะเดียวกันยังเป็นการการรณรงค์ให้สังคมตระหนักถึงความรับผิดชอบในการอนุรักษ์ธรรมชาติอย่างยั่งยืน ด้วยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคในชีวิตประจำวันและการใช้ทรัพยากรให้เกิดประโยชน์สูงสุด” นายวุฒิชัย กล่าว

ซีพีเอฟ”รุกธุรกิจสีเขียว เพิ่มสัดส่วนรายได้แตะ 30% Read More »

ซีพีเอฟ เปิดตัว “ไก่รุ่นรักษ์โลก” นวัตกรรมอาหารสัตว์ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดอ๊อกไซด์

   บริษัทเจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ เปิดตัวนวัตกรรมอาหารสัตว์รักษ์โลกสำหรับไก่ไข่รุ่น ด้วยการปรับสูตรอาหารสัตว์ให้มีโภชนาการที่เหมาะสมกับสัตว์ร่วมกับการใช้เอนไซม์ในอาหารสัตว์ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการดูดซึมสารอาหารและระบบการย่อยอาหารของสัตว์ดีขึ้น ทำให้การปล่อยของเสียโดยเฉพาะก๊าซคาร์บอนไดอ๊อกไซด์ลดลง ช่วยแก้ปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ    ดร.ไพรัตน์ ศรีชนะ รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส สำนักวิชาการอาหารสัตว์ บริษัท เครือเจริญโภคภัณฑ์ จำกัด ซึ่งเป็นหน่วยงานวิจัยและพัฒนาสูตรอาหารสัตว์บกให้กับ ซีพีเอฟ กล่าวว่า นวัตกรรมอาหารไก่รุ่นรักษ์โลก เป็นการพัฒนาสูตรอาหารสัตว์โดยการใช้สมดุลกรดอะมิโนที่เหมาะสมและการคัดเลือกเอนไซม์ที่ใช้ในอาหาร (enzyme) อย่างเหมาะสมกับสัตว์ในแต่ละช่วงวัย เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการย่อยอาหารที่สัตว์กินเข้าไป ส่งผลดีต่อสุขภาพของสัตว์ ขณะเดียวกันจะช่วยลดการใช้วัตถุดิบอาหารสัตว์ เช่น ข้าวโพดและโปรตีน ที่ใส่มากเกินความต้องการของสัตว์และกำจัดออกมาเป็นของเสียหรือมูลสัตว์    เป้าหมายของการวิจัยนวัตกรรมอาหารสัตว์ คือ การสรรหาและคิดค้นวัตถุดิบเพื่อนำไปผลิตและพัฒนาสูตรอาหารสัตว์ที่ตรงกับความต้องการอาหารของสัตว์ในแต่ละช่วงวัย ช่วยให้สัตว์ย่อยอาหารได้ดี ส่งผลต่อการเติบโตของสัตว์อย่างมีประสิทธิภาพ สัตว์มีสุขภาพแข็งแรง โดยเหลือของเสียน้อยที่สุดหรือของเสียเป็นศูนย์ (zero waste) ขณะเดียวกันช่วยลดต้นทุนของบริษัทฯ” ดร.ไพรัตน์ กล่าวและเสริมว่า สูตรอาหารไก่ไข่รุ่นรักษ์โลกนี้ได้รับการขึ้นทะเบียนอาหารสัตว์กับกองควบคุมอาหารและยาสัตว์ กรมปศุสัตว์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เรียบร้อยแล้ว    ดร.ไพรัตน์ กล่าวต่อไปว่า อาหารไก่ไข่รักษ์โลกดังกล่าวจะช่วยลดไนโตรเจนได้ 12-13% ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดอ๊อกไซด์ประมาณ 103 ตันต่อปี ช่วยในการลดกลิ่น ซึ่งจะใช้ในโครงการคอมเพล็กซ์ไก่ไข่ ทีมีการเลี้ยงไก่ไข่จำนวน 6.5 ล้านตัว ซึ่งเป็นการผลิตไข่ไก่แบบครบวงจรและช่วยเพิ่มการป้องกันโรคจากภายนอกตามระบบความปลอดภัยทางชีวภาพ (Biosecurity) โดยนำฟาร์มเลี้ยงไก่รุ่น ไก่ไข่ โรงคัดไข่ และโรงงานแปรรูปไข่มาไว้ในพื้นที่เดียวกันภายใต้แนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน ลดต้นทุนการผลิตของบริษัท ขณะเดียวกันจะช่วยเพิ่มปริมาณก๊าซเรือนกระจกสะสมที่สามารถลดได้จากการดำเนินโครงการกลไกการพัฒนาที่สะอาด (Carbon Credit)    ปัจจุบัน ซีพีเอฟ ใช้นวัตกรรมอาหารสุกรรักษ์สิ่งแวดล้อม ซึ่งสามารถช่วยปริมาณไนโตรเจนในมูลสุกรได้ถึง 20-30% ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดอ๊อกไซด์ 23,700 ตัน ในปี 2561 สำหรับกิจการในประเทศไทย บริษัทฯได้ขยายผลไปยังธุรกิจผลิตอาหารสุกรในอีก 7 ประเทศ ได้แก่ ลาว กัมพูชา เวียดนาม ฟิลิปปินส์ จีน ไต้หวัน และรัสเซีย สามารถลดก๊าซเรือนกระจกได้มากกว่า 41,000 ตันคาร์บอนไดอ๊อกไซด์    ดร.ไพรัตน์ กล่าวว่า ทีมวิจัยกำลังศึกษาเพื่อต่อยอดอาหารสุกรรักษ์โลกจากการช่วยลดกลิ่นไปสู่ช่วยลดการใช้น้ำ ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จในปี 2563 ซึ่งจะเป็นส่วนช่วยในการบรรเทาผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม./    

ซีพีเอฟ เปิดตัว “ไก่รุ่นรักษ์โลก” นวัตกรรมอาหารสัตว์ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดอ๊อกไซด์ Read More »

ประโยชน์ของ Prebiotic และ Probiotic ในลูกสุกร

ประโยชน์ของ Prebiotic และ Probiotic ในลูกสุกร เป็นทางเลือกที่มีศักยภาพในการส่งเสริมประสิทธิภาพการเลี้ยงลูกสุกร

ประโยชน์ของ Prebiotic และ Probiotic ในลูกสุกร Read More »

ผลกระทบทางเศรษฐกิจของ coronavirus 2019

ฉบับนี้เราจะคุยกันถึงเรื่องที่ทันสมัยต่อเหตุการล่าสุดที่เป็นข่าวช็อคโลกของเราในวันนี้ คือเรื่องการระบาดของโรคปอดอักเสบจากโคโรน่าไวรัส อู่ฮั่น ซึ่งเกิดโรคขึ้นครั้งแรกเมื่อสิงหาคม 2562  เริ่มระบาดในเดือนธันวามคม 2562   จนกระทั่งวันที่ 31 มกราคม 2563 องค์การอนามัยโลก(WHO )ได้ประกาศภาวะฉุกเฉินของโรคระบาดโคโรน่าไวรัสอู่ฮั่น เป็นโรคระบาดที่ต้องเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด  ซึ่งถือเป็นวิกฤตการณ์ของโรคระบาดจากไวรัสอีกครั้งหนึ่ง  และส่งผลกระทบทางด้านเศรษฐกิจทั่วโลก  ดังจะมีบทวิเคราะห์ผลกระทบทางเศรษฐกิจโดย Mr.Raphie Hayat  และคณะ ของทาง RABO BANK  ดังนี้ ผลกระทบทางเศรษฐกิจของ coronavirus 2019 coronavirus ที่กำลังแพร่กระจายในประเทศจีนและเกินขอบเขตมีตลาดการเงินสั่นสะเทือนประสบการณ์ที่ผ่านมาการระบาดของไวรัสในอดีตแสดงให้เห็นว่าตลาดมักจะเด้งกลับมาอย่างรวดเร็ว ผลกระทบทางเศรษฐกิจต่อประเทศจีนขึ้นอยู่กับความสามารถของรัฐบาลจีนในการควบคุมไวรัสและการดำเนินนโยบายเพื่อลดผลกระทบ แม้ว่าการระบาดของไวรัสจะออกมาเทียบเท่ากับโรคซาร์ส แต่ผลกระทบทางเศรษฐกิจทั่วโลกน่าจะมีขนาดใหญ่กว่าในปี 2545/2546 เนื่องจากจีนมีส่วนแบ่งทางเศรษฐกิจในระดับโลกมากขึ้นทุกวันนี้ยิ่งกว่านั้นเศรษฐกิจเชื่อมโยงกันมากขึ้นกว่าเมื่อ 17 ปีก่อน ด้วยการเติบโตของเศรษฐกิจโลกในช่วงชะลอตัวไวรัสเป็นอีกความเสี่ยงที่สนับสนุนมุมมองของเราว่าเราจะเห็นภาวะถดถอยทั่วโลกในปีนี้และธนาคารกลางในตลาดที่พัฒนาแล้วน่าจะมีงานทำอีกมากในด้านมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ณ จุดนี้เราไม่ได้คาดหวังว่าจะเกิดความเสียหายถาวรต่อการแพร่ระบาดของเศรษฐกิจจีนหรือภูมิภาคอื่น ๆ ทั่วโลกในอดีตเศรษฐกิจได้แสดงให้เห็นถึงการสูญเสียชั่วคราวหลังจากฝุ่นตกลงมา แม้ว่าวิกฤตการณ์ในปัจจุบันจะทำให้ยากขึ้นสำหรับจีนที่จะดำเนินตามคำมั่นสัญญาล่าสุดที่จะทำให้ยอดการนำเข้าสินค้าและบริการของสหรัฐฯเพิ่มขึ้น 200 พันล้านเหรียญสหรัฐในอีกสองปีข้างหน้า แต่เราไม่คาดว่าจะมีผลกระทบเชิงลบเพิ่มเติมต่อสหรัฐฯ ความสัมพันธ์ทางการค้าในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งของข้อตกลงระบุชัดเจนยกเว้นในกรณีที่เกิดภัยพิบัติทางธรรมชาติ อย่างไรก็ตามในกรณีที่มีการแพร่กระจายของไวรัสไปทั่วโลกหรือในกรณีที่มีการผิดนัดชำระหนี้ในกลุ่ม บริษัท ที่ไม่ใช่สถาบันการเงินที่มีหนี้สูงของจีนเนื่องจากมาตรการกักกันความเสี่ยงของความเสียหายถาวรจะเพิ่มขึ้นอย่างมาก สำหรับเนเธอร์แลนด์ผลกระทบน่าจะเป็นทางอ้อมผ่านการเติบโตการค้าและความเชื่อมั่นทั่วโลกอย่างไรก็ตามภาคเฉพาะที่จัดหาอุปกรณ์ทางทะเลเครื่องจักรและสารเคมีให้หวู่ฮั่นก็สามารถได้รับผลกระทบ ในกิจกรรมพิเศษนี้เราจะพิจารณาถึงผลกระทบทางเศรษฐกิจที่อาจเกิดขึ้นจาก coronavirus ที่ได้รับผลกระทบจากจีนตั้งแต่ปลายปี 2562 เรารู้อะไรบ้างเกี่ยวกับ coronavirus 2019 coronavirus 2019 เริ่มต้นในเมืองหวู่ฮั่น (จังหวัดหูเป่ย) และอยู่ในกลุ่มเดียวกันของไวรัสเช่นเดียวกับโรคซาร์สและ MERS[1]ในกรณีส่วนใหญ่ไวรัสเหล่านี้ทำให้เกิดอาการไม่รุนแรงเช่นมีไข้ไอและหายใจถี่ (อ้างอิงจากองค์การอนามัยโลก ) เนื่องจากโรคซาร์สได้รบกวนประเทศจีนมาก่อน (ในช่วงปลายปี 2545 และ 2546) ดูเหมือนว่าเป็นเรื่องธรรมดาที่จะเปรียบเทียบสถานการณ์กับตอนนี้ อย่างไรก็ตามก่อนที่เราจะทำเช่นนั้นเราควรเน้นว่าอาจมีความแตกต่างที่สำคัญระหว่างโรคซาร์สและโรคหลอดเลือดสมองในปี 2019 (ตารางที่ 1) เนื่องจากเรายังอยู่ในช่วงเริ่มต้นของการรับรู้ อันดับแรกจากข้อมูลปัจจุบัน 201 coronavirus ดูเหมือนจะตายน้อยกว่าโรคซาร์ส ในกรณีที่โรคซาร์สมีอัตราการตาย (จำนวนผู้เสียชีวิตต่อจำนวนผู้ได้รับผลกระทบ) 10% จำนวนผู้ป่วยล่าสุดของ coronavirus ในปี 2019 บ่งชี้ว่าอัตราการตายลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ประการที่สองแม้ว่าจะยังไม่ชัดเจนว่า coronavirus 2019 นั้นติดต่อได้ง่ายกว่าโรคซาร์สหรือไม่ (ทั้งคู่คาดว่าจะแพร่กระจายไปในอากาศ) ดูเหมือนว่ามันจะแพร่กระจายเร็วกว่าโรคซาร์ส การระบาดของโรคซาร์สในปี 2545-2546 นำไปสู่ผู้ป่วยที่ได้รับผลกระทบทั้งหมด 8,000 รายภายในระยะเวลา 8 เดือนโดยที่ coronavirus 2019 นั้นมีจำนวนใกล้เคียงกันภายในสองสัปดาห์ ตารางที่ 1: การเปรียบเทียบสั้น ๆ ของสาม coronaviruses ที่มา: WHO, Wikipedia, CDC, Johns Hopkins University CSSE เวลาฟักตัวซึ่งเป็นเวลาที่ใช้สำหรับอาการของไวรัสต่อพื้นผิวของ coronavirus 2019 นั้นยาวกว่าโรคซาร์ส นี่คือความแตกต่างที่สำคัญเนื่องจากผู้คนสามารถมี coronavirus และส่งต่อโดยไม่รู้ตัวว่าป่วย มีรายงานผู้ป่วยนอกประเทศจีนเพิ่มขึ้นจำนวนมากโดยเฉพาะในประเทศไทย (NY Times มีแผนที่ดีแสดงให้เห็น) ในขณะเดียวกันคณะกรรมการฉุกเฉินขององค์การอนามัยโลกจะได้รับการฟื้นฟูในวันนี้เพื่อตัดสินว่าวิกฤตินี้เป็น ‘เหตุฉุกเฉินด้านสาธารณสุขของความกังวลระหว่างประเทศ’ หรือไม่ ตลาดการเงินมีปฏิกิริยาอย่างไรต่อการระบาดของโรค? ตลาดการเงินมีปฏิกิริยาตอบโต้อย่างรุนแรงต่อการระบาดของไวรัส แต่ก็ยังไม่ถึงกับผิดปกติ ตลาดหุ้นเริ่มปรับตัวลงในเอเชียเป็นครั้งแรก แต่ตลาดอื่น ๆ ก็ตามอย่างรวดเร็ว ในขณะเดียวกันดัชนี Hang Seng ได้หายไปประมาณ 6% ตั้งแต่วันศุกร์ที่แล้ว (รูปที่ 2) สำหรับ S&P การสูญเสียนั้นเรียบง่ายกว่า 1% การสูญเสียมีความสำคัญมากขึ้นเมื่อเทียบกับจุดสูงสุดในตลาดหุ้นหลายแห่งเมื่อวันที่ 17 มกราคมเนื่องจากความเชื่อมั่นที่สูงขึ้นจากข้อตกลงการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีน จากความเชื่อมั่นที่ลดลงความต้องการสินทรัพย์ที่ปลอดภัยเช่นคลังสหรัฐได้รับแรงกระตุ้นทำให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปีลดลงต่ำกว่า 1.6% ซึ่งระดับที่สูงกว่า 1.8% ยังคงถูกบันทึกในสัปดาห์แรกของเดือนมกราคม (รูปที่ 3) แม้ว่าการลดลงเมื่อวานนี้ (-5bp) ส่วนใหญ่จะเป็นการประชุม FOMC นอกจากนี้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐและเงินเยนของญี่ปุ่นแข็งค่าขึ้นในขณะที่สกุลเงินในตลาดเกิดใหม่จำนวนมากได้อ่อนตัวลง ราคาน้ำมันปรับตัวลดลงอย่างรวดเร็วสะท้อนความเชื่อมั่นที่อ่อนตัวลงและความกังวลว่าการระบาดของไวรัสและมาตรการกักกันจะทำให้ความต้องการน้ำมันและวัตถุดิบอื่น ๆ ของจีนลดลง (รูปที่ 4) โดยรวมแล้วตลาดได้รับการสั่นสะเทือนอย่างชัดเจน ด้วยความไม่แน่นอนเกี่ยวกับความรุนแรงและการแพร่กระจายของการระบาดทั่วโลกมันเร็วเกินไปที่จะตัดสินว่าตลาดจะฟื้นตัวจากความสูญเสียเหล่านี้ได้ทุกเวลาในไม่ช้า รูปที่ 1: ความเชื่อมั่นของตลาดฟื้นตัวอย่างรวดเร็วหลังจากโรคซาร์ส รูปที่ 2: ตลาดตราสารทุนถูกต้องตามที่ข่าวไวรัส 2019-nCov กระทบหัว รูปที่ 3: ราคาน้ำมันปรับตัวลงอย่างรวดเร็วอุปสงค์ที่ปลอดภัยช่วยดึงอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐ รูปที่ 4: สินค้าโภคภัณฑ์อื่น ๆ ก็ประสบเช่นกัน ความหมายทางเศรษฐกิจ: เวลานี้แตกต่างกันหรือไม่ ในช่วงที่มีการระบาดของโรคซาร์สประเทศจีนประสบกับกิจกรรมทางเศรษฐกิจอย่างรุนแรง (รูปที่ 5) การคำนวณของเราแสดงให้เห็นว่าการเติบโตรายเดือนลดลงจากประมาณ 10% (yoy) ต้นปี 2003 เป็น 6.6% ที่จุดสูงสุดของวิกฤตโรคซาร์ส การเดินทางทางบกทางน้ำและทางรถไฟลดลง 50% (yoy) ปริมาณการขนส่งสินค้าลดลง 15% (yoy) ภาคการท่องเที่ยวได้รับผลกระทบเช่นกัน อย่างไรก็ตามเศรษฐกิจดีดตัวขึ้นค่อนข้างเร็วหลังจากที่มีการระบาดของโรคเกิดขึ้นเพื่อชดเชยการสูญเสียครั้งก่อน สิ่งนี้ชี้ให้เห็นว่าการแพร่ระบาดของโรคซาร์สไม่ได้มีผลกระทบด้านลบต่อกำลังการผลิต รูปที่ 5: ความเสียหายทางเศรษฐกิจเป็นเพียงชั่วคราวในอดีต แต่มันจะเป็นในครั้งนี้ด้วยหรือไม่ คาดว่าผลกระทบทางเศรษฐกิจของ coronavirus 2019 คำถามในขณะนี้คือการแพร่ระบาดของโรคในปัจจุบันจะส่งผลให้เกิดผลกระทบทางเศรษฐกิจชั่วคราว (เท่านั้น) หรือไม่ สำหรับการเริ่มเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้ส่วนใหญ่จะได้รับบาดเจ็บตั้งแต่สอดคล้องระบาดของโรคไวรัสที่มีระยะเวลารอบตรุษจีน (25 มกราคมTH ) ซึ่งมีแนวโน้มที่จะเป็นช่วงเวลาที่แข็งแกร่งสำหรับยอดค้าปลีก นอกจากนี้มณฑลหูเป่ย (ซึ่งเป็นที่ตั้งของเมืองที่ได้รับผลกระทบ) เป็นส่วนหนึ่งของจีดีพีของจีน (4%) และเมืองหลวง (หวู่ฮั่น) เป็นศูนย์กลางการขนส่งที่สำคัญและเป็นผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่อันดับสองของจีน จากประสบการณ์ของโรคซาร์สและจากข้อมูลที่เรามีอยู่ตอนนี้เราคิดว่าผลกระทบชั่วคราวของ GDP ประมาณ 1-2% นั้นเป็นการประมาณการที่สมเหตุสมผล หากสิ่งนี้ถูกชดเชยส่วนใหญ่จากการเติบโตที่สูงขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี 2020 ผลกระทบโดยรวมต่อการเติบโตของจีดีพีประจำปีอาจยังคงมีข้อ จำกัด อยู่ สิ่งที่เกิดขึ้นในไตรมาสแรกนั้นขึ้นอยู่กับความรุนแรงของการระบาดของไวรัสความสามารถของรัฐบาลจีนในการควบคุมและการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลเพื่อชดเชยความเสียหายทางเศรษฐกิจ เมื่อนำปัจจัยเหล่านี้มารวมกันรูปภาพจะดูไม่เป็นสีดอกกุหลาบโดยเฉพาะ ความรุนแรงของการระบาดยังคงไม่แน่นอนและการปิดตัวของเมืองใหญ่ ๆ ในมณฑลหูเป่ย์ (แม้ว่าจะเป็นเชิงรุกและรวดเร็ว) อาจไม่ส่งผลกระทบมากนักหากไวรัสได้ติดเชื้อหลายคนนอกพื้นที่กักกัน นอกจากนี้แม้ว่าเราคาดหวังว่ารัฐบาลจีนจะกระตุ้นเศรษฐกิจ (ผ่านนโยบายการเงินหรือการคลัง) แต่เราก็ยังสงสัยว่ามันจะมีประสิทธิภาพเพียงใดหากความเชื่อมั่นของผู้บริโภคมีความรุนแรง ความตึงเครียดทางการค้าเป็นอย่างไร? ในที่สุดเราไม่คาดหวังให้ coronavirus สร้างความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีน ในข้อตกลงระยะที่หนึ่งที่ลงนามเมื่อเร็ว ๆ นี้ระหว่างจีนและสหรัฐฯจีนได้ให้คำมั่นที่จะเพิ่มการนำเข้าสินค้าและบริการของสหรัฐภายในปีถัดไป 200 พันล้านในอีกสองปีข้างหน้า (ระดับการนำเข้าสินค้าและบริการของสหรัฐฯในปี 2560) ด้วยความล่าช้าที่อาจเกิดขึ้นจากไวรัสทำให้จีนอาจไม่สามารถทำตามคำสัญญานี้ได้ หากเป็นกรณีนี้เราคาดว่าจะได้รับการตอบรับเล็กน้อยจากสหรัฐฯ ข้อตกลงระยะที่หนึ่งนั้นชัดเจน เกี่ยวกับการเกิดเหตุการณ์หรือภัยพิบัติที่ไม่คาดคิด (ข้อ 7.6):“ ในกรณีที่ภัยพิบัติทางธรรมชาติหรือเหตุการณ์ที่ไม่สามารถคาดการณ์ได้อื่น ๆ ที่อยู่นอกการควบคุมของคู่ภาคีทำให้ภาคีล่าช้าจากการปฏิบัติตามพันธกรณีภายใต้ข้อตกลงนี้ อื่น ๆ อันที่จริงใคร ๆ ก็สามารถเถียงได้ว่าการระบาดของโรคไวรัสอาจเป็นข้อแก้ตัวที่สมบูรณ์แบบสำหรับประเทศจีนที่จะไม่ดำเนินชีวิตตามคำมั่นสัญญาของตนแม้ว่ามันอาจจะเป็นการทำลายความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ – จีนจากมุมมองระยะกลาง ความเสียหายถาวร? คำถามคือว่าการแพร่ระบาดของโรคในปัจจุบันสามารถทิ้งรอยถาวรไว้ที่เศรษฐกิจจีนหรือไม่หรือถ้ามันแพร่ขยายออกไปมากขึ้นเศรษฐกิจโลก ความเสียหายทางเศรษฐกิจถาวรมักเกิดขึ้นในกรณีที่เกิดภาวะช็อกทางด้านอุปทาน ซึ่งหมายความว่าปัจจัยด้านอุปทานเมืองหลวงคือแรงงานและเทคโนโลยีได้รับผลกระทบอย่างถาวรจากเหตุการณ์รุนแรงเช่นสงครามอาวุธภัยพิบัติทางธรรมชาติวิกฤตการณ์ทางการเงินหรือการแพร่ระบาดทั่วโลกหรือโรคระบาด ณ จุดนี้การระบาดของโคโรนาอยู่ใกล้กับการระบาดใหญ่และการระบาดใหญ่ดังกล่าวควรได้รับการพิจารณาว่าเป็นสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุด แต่ภายใต้สถานการณ์ดังกล่าวมีความเสี่ยงสูงต่อความเสียหายทางเศรษฐกิจถาวร การระบาดในอดีตที่ผ่านมาเช่นโรคระบาดในช่วงกลาง 14 THศตวรรษหรือไข้หวัดใหญ่สเปนในปี 2461-2463 แสดงให้เห็นว่าเหตุการณ์เหล่านี้สามารถทำให้เศรษฐกิจอ่อนแอ ยกตัวอย่างเช่นไข้หวัดใหญ่สเปนประชากรวัยทำงานของสหรัฐฯหดตัวลงราวครึ่งล้านคนในช่วงระยะเวลาหนึ่งปี (รูปที่ 6) รูปที่ 6: ประชากรวัยทำงานในสหรัฐอเมริกาลดลง 500,000 คน อีกช่องทางสำคัญที่ความเสียหายทางเศรษฐกิจถาวรอาจเกิดขึ้นได้คือการลดระดับทุนต่อคนงานหรือการทำลายทุน ในประเทศจีนสิ่งนี้อาจเกิดขึ้นได้หาก บริษัท ที่ไม่ใช่สถาบันการเงินที่มีหนี้มาก (โดยเฉพาะในภาคการผลิต) จะล้มละลายเนื่องจากการกักกัน ภาระหนี้ของ บริษัท ที่ไม่ใช่สถาบันการเงินของจีนพุ่งสูงขึ้นในช่วง 20 ปีที่ผ่านมาสู่กว่า 150% ของจีดีพี บริษัท เหล่านี้พึ่งพาการเติบโตทางเศรษฐกิจสูงเพื่อให้บริการหนี้นี้ หากการเติบโตในระดับสูงนี้สิ้นสุดลงแม้จะเป็นช่วงเวลาสั้น ๆ แต่ บริษัท ที่มีภาระหนี้สูงเช่นนี้อาจพบว่าเป็นการยากที่จะปฏิบัติตามภาระหน้าที่ของตนโดยไม่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาล อันที่จริงรัฐบาลอาจให้การสนับสนุนเช่นนี้โดยอาจปล่อยให้ธนาคารกลางจีนสูบสภาพคล่องในระบบแม้ว่ามันจะมีความเสี่ยงต่อเงินเฟ้อที่สูงขึ้น ท้ายที่สุดหากการเคลื่อนย้ายทุนมนุษย์ความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติและการค้าได้รับผลกระทบในระยะเวลาที่นานกว่านี้จะส่งผลกระทบในทางลบต่อการเติบโตของผลิตภาพและการติดตามด้านเทคโนโลยี เศรษฐกิจโลกจะได้รับผลกระทบอย่างไร? เมื่อเทียบกับการระบาดของโรคซาร์สปี 2545/2546 ผลกระทบทางเศรษฐกิจทั่วโลกของ coronavirus 2019 มีแนวโน้มว่าจะรุนแรงขึ้น พูดง่ายๆคือจีนเป็นประเทศที่ใหญ่กว่ามากและมีความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจกับโลกมากขึ้นและมีความเสี่ยงมากกว่าเมื่อ 17 ปีที่แล้ว ในปี 2546 จีนคิดเป็นเพียง 7.5% ของจีดีพีโลกขณะนี้คิดเป็นมากกว่า 20% (รูปที่ 7) ดังนั้นผลกระทบทางเศรษฐกิจต่อจีนน่าจะมีผลกระทบทั่วโลกมากกว่าที่เคยเป็นเมื่อ 17 ปีก่อน ประเทศจีนได้กลายเป็นพันทางเศรษฐกิจโลกมากขึ้นการจราจรทางอากาศระหว่างประเทศของจีนเพียง 5 ล้านในปี 2000 ในขณะที่มันเกือบ 55 ล้านในขณะนี้ (รูปที่ 8) นักท่องเที่ยวชาวจีนมีสัดส่วนการท่องเที่ยวเป็นจำนวนมากเช่นประเทศไทย (30%) และออสเตรเลีย (15%) ประเทศจีนได้กลายเป็นส่วนสำคัญของห่วงโซ่คุณค่าระดับโลกซึ่ง (หากมีการหยุดชะงัก) อาจมีผลกระทบสำคัญกับ บริษัท ระหว่างประเทศ นอกจากนี้จีนยังมีความเสี่ยงมากกว่าตอนนี้เมื่อ 17 ปีที่แล้ว: มีหนี้สินสูงกว่ามากความตึงเครียดทางการค้ากับคู่ค้ารายใหญ่และการเติบโตของ บริษัท ชะลอตัวลงอย่างต่อเนื่องมาหลายปี ส่วนผสมเหล่านี้ไม่เป็นลางดีสำหรับเศรษฐกิจโลกหากการระบาดของโรค coronavirus ยังคงมีอยู่ผลกระทบจะเกิดขึ้นแม้ว่าการเจริญเติบโตของโลกการค้าและห่วงโซ่คุณค่าระดับโลกรวมถึงในภาคส่วนเฉพาะเช่นการขนส่งและการท่องเที่ยว โดยรวมแล้วเมื่อมีการเติบโตทางเศรษฐกิจโลกในช่วงชะลอตัวไวรัสเป็นความเสี่ยงอีกประการหนึ่งที่สนับสนุนมุมมองของเราว่าเราจะเห็นภาวะถดถอยทั่วโลกในปีนี้และธนาคารกลางของตลาดที่พัฒนาแล้วอาจมีงานที่ต้องทำอีกมากมาย รูปที่ 7: จีนใหญ่ขึ้นมาก … รูปที่ 8: …และอีกหลายพันทั่ว เนเธอร์แลนด์ได้รับบาดเจ็บหรือไม่? ณ ขณะนี้ยังไม่มีกรณียืนยันไวรัสในเนเธอร์แลนด์ เราคิดว่าผลของการระบาดของโรคต่อ บริษัท ดัตช์ส่วนใหญ่จะเป็นทางอ้อมผ่านการเติบโตทางเศรษฐกิจทั่วโลกและความเชื่อมั่น ในฐานะเศรษฐกิจเปิดที่ค่อนข้างเล็กเนเธอร์แลนด์มีความอ่อนไหวต่อการค้าโลก (ซึ่งจะได้รับบาดเจ็บ) บทบาทของเนเธอร์แลนด์ในฐานะประตูสู่ยุโรปสำหรับจีนทำให้ภาคการขนส่งโดยเฉพาะอาจได้รับผลกระทบ แต่ยังมี บริษัท อื่น ๆ ในภาคที่มีการเปิดรับเมืองที่ถูกปิดเช่นหวู่ฮั่น ตัวอย่างเช่นประเทศเนเธอร์แลนด์ (อ้างอิงจากองค์กรองค์กรเนเธอร์แลนด์ ) นำเข้าสิ่งทอโทรศัพท์มือถือและอุปกรณ์การแพทย์จากหวู่ฮั่นและส่งออกอุปกรณ์ทางทะเลเครื่องจักรและสารเคมีไปยังเมือง บริษัท ดัตช์ที่นำเข้าหรือจัดหาสินค้าเหล่านี้มีแนวโน้มที่จะได้รับผลกระทบ F&A: ผลกระทบต่ออาหารและการเกษตรอาจมีอายุสั้น coronavirus เพิ่มความไม่แน่นอนให้กับอุตสาหกรรมอาหารและการเกษตรขนาดใหญ่ของจีน เนื่องจากไม่ทราบถึงจังหวะและขนาดของการเพิ่มของไวรัสและกรอบเวลาจนกระทั่งสถานการณ์อยู่ภายใต้การควบคุมอย่างเต็มที่จึงควรพิจารณาทบทวนประสบการณ์บางอย่างที่เกิดขึ้นระหว่างการระบาดของโรคซาร์ส ในช่วงเหตุการณ์ส่วนใหญ่ภาคบริการอาหารประสบผลกระทบเชิงลบ และสิ่งนี้สามารถคาดการณ์ได้ในส่วนที่มีการระบาดของโรค coronavirus เช่นหลายโซ่กาแฟแล้วประกาศปิดร้านค้าจำนวนมากชั่วคราว ในช่วงที่โรคซาร์สผลกระทบด้านลบต่อภาคบริการอาหารส่งผลดีต่อภาคการค้าปลีกเนื่องจากผู้บริโภครับประทานอาหารที่บ้านมากขึ้น ด้วยการปรับปรุงเนื่องจากโรคซาร์สในอีคอมเมิร์ซและการส่งอาหารบางส่วนของภาคบริการอาหารอาจได้รับประโยชน์มากกว่าในช่วงที่โรคซาร์ส ดังนั้นแม้อาจมีการเปลี่ยนแปลงชั่วคราวว่าผู้คนบริโภคอย่างไร เมื่อพิจารณาจากประสบการณ์ของโรคซาร์ส แต่ชัดเจนขึ้นอยู่กับขนาดและความยาวของการระบาดของโรค coronavirus ผลกระทบต่อ F&A อาจมีอายุสั้น จากการดูข้อมูลการบริโภคและการนำเข้าที่สำคัญของจีนแสดงให้เห็นว่าในช่วงที่โรคซาร์สไม่มีการชะลอตัวของอุปสงค์อย่างมีนัยสำคัญเช่นเนื้อสัตว์น้ำมันพืชและธัญพืชและเมล็ดพืชน้ำมันถูกบันทึกไว้และการนำเข้าสินค้าเกษตรส่วนใหญ่ยังคงเติบโต ถึงกระนั้นก็ตามราคาสินค้าโภคภัณฑ์เกษตรโลกในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมามีความผันผวนเนื่องจาก coronavirus มักจะสอดคล้องกับการเคลื่อนไหวที่เห็นในสินทรัพย์ประเภทอื่นโดยเฉพาะราคาน้ำมันดิบ ราคาน้ำมันปาล์มที่การแลกเปลี่ยนในประเทศมาเลเซียมีปฏิกิริยาลดลงอย่างรวดเร็วตามมาด้วยการฟื้นตัวซึ่งสามารถอธิบายได้โดย 1) จีนเป็นผู้นำเข้าน้ำมันปาล์มรายใหญ่อันดับสามของโลกนำเข้า 14% ของน้ำมันปาล์มเพื่อการค้าทั้งหมด โปรแกรมควบคุมราคา 2) น้ำมันปาล์มถูกนำมาใช้ในการผลิตเชื้อเพลิงชีวภาพ (1 ใน 3 ของการผลิตไบโอดีเซลทั่วโลกใช้น้ำมันปาล์มเป็นวัตถุดิบ) และการเปลี่ยนแปลงของพลังงานและราคาน้ำมันดิบยังรวมถึงราคาของเชื้อเพลิงชีวภาพและวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิตเชื้อเพลิงชีวภาพเหล่านั้น

ผลกระทบทางเศรษฐกิจของ coronavirus 2019 Read More »

เว็บไซต์นี้มีการจัดเก็บคุกกี้เพื่อมอบประสบการณ์การใช้งานเว็บไซต์ให้แก่ท่านได้ดียิ่งขึ้น รวมถึงทำให้สามารถมอบข้อเสนอ กิจกรรมส่งเสริมการขาย เลือกเนื้อหาให้เหมาะสมแก่ท่านอย่างเป็นส่วนตัวได้ การเก็บและใช้งานคุกกี้สามารถศึกษาได้ที่นโยบายการใช้คุกกี้นี้ การใช้งานเว็บไซต์นี้จะมีการจัดเก็บคุกกี้ประเภทต่าง ๆ ซึ่งท่านต้องยอมรับและยินยอมให้บริษัทฯ จัดเก็บ. (เรียนรู้เพิ่มเติม)