Logo-CPF-small-65png

ข่าวสารทั่วไป

CPF เดินหน้าใช้ “โปรไบโอติก” เสริมสุขภาพไก่แข็งแรง ไม่ใช้ยาปฏิชีวนะ สอดคล้องหลักสวัสดิภาพสัตว์

CPF เลี้ยงไก่ด้วยจุลินทรีย์ “โปรไบโอติก” นวัตกรรมสร้างภูมิคุ้มกันจากภายใน ช่วยสร้างสมดุลลำไส้ ส่งผลให้ไก่มีสุขภาพแข็งแรง ไม่ป่วย และไม่ต้องใช้ยาปฏิชีวนะ ลดปัญหาเชื้อดื้อยา เป็นไปตามหลักสวัสดิภาพสัตว์ (Animal Welfare) มุ่งส่งต่ออาหารปลอดภัยสู่ผู้บริโภคดร.ไพรัตน์ ศรีชนะ รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส สำนักวิชาการอาหารสัตว์ CPF เปิดเผยว่า กระบวนการเลี้ยงสัตว์ของ CPF ดำเนินการตามหลักสวัสดิภาพสัตว์และใช้ยาปฏิชีวนะอย่างสมเหตุสมผล เพื่อป้องกันเชื้อดื้อยา โดยให้ความสำคัญกับหลัก 5 หัวใจการเลี้ยงสัตว์ ตั้งแต่การคัดเลือกสายพันธุ์ที่ดีและแข็งแรง พัฒนาอาหารสัตว์ที่เหมาะสมกับช่วงวัยของสัตว์แต่ละชนิด เลี้ยงในโรงเรือนที่ดี มีระบบการจัดการฟาร์มมาตรฐาน ภายใต้ระบบการป้องกันโรคที่เข้มงวด โดยนำเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาใช้ อาทิ ระบบการให้อาหารอัตโนมัติ การควบคุมอุณหภูมิและแสงสว่างในโรงเรือนที่เหมาะสม เพื่อให้สัตว์อยู่สบาย ลดโอกาสป่วย ทำให้ผู้บริโภคได้ทานอาหารคุณภาพปลอดภัยอย่างแท้จริง  นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังคิดค้นนวัตกรรมการเลี้ยงไก่ด้วยจุลินทรีย์ดี “โปรไบโอติก” ตอบโจทย์สุขภาพของผู้บริโภค ภายใต้แนวคิดการผลิตอาหารปลอดภัย โดยให้ความสำคัญและมุ่งมั่นลดการใช้ยาปฏิชีวนะในการเลี้ยงสัตว์ จึงนำนวัตกรรมโปรไบโอติกมาใช้ในอาหารสัตว์ เพื่อทำให้เกิดการสร้างภูมิคุ้มกันจากภายใน ส่งผลให้สัตว์มีสุขภาพที่ดี แข็งแรง ไม่ป่วย จึงไม่จำเป็นต้องใช้ยาปฏิชีวนะ รวมทั้งไม่ใช้ฮอร์โมนเร่งการเจริญเติบโตตลอดการเลี้ยงดู ทำให้เนื้อไก่ CPF ปลอดสาร ปลอดภัย ดีต่อสุขภาพของผู้บริโภค“บริษัทฯ คัดเลือกจุลินทรีย์โปรไบโอติกสายพันธุ์ที่ดีที่สุดและเหมาะสมกับสายพันธุ์สัตว์ โดยคัดโปรไบโอติกจาก 125,000 สายพันธุ์ จนได้โปรไบโอติกที่แข็งแรงที่สุดเพียง 9 สายพันธุ์ มาผสมในอาหารสัตว์ หลักการทำงานของโปรไบโอติกจะเข้าไปช่วยผลิตเอ็นไซม์ย่อยอาหารในลำไส้ของสัตว์ และปรับเปลี่ยนโครงสร้างจุลินทรีย์ให้มีจุลินทรีย์ที่ดีในทางเดินอาหาร เกิดสมดุลในร่างกาย ทำให้สัตว์มีสุขภาพแข็งแรง โดยไม่ต้องใช้ยา ซึ่งส่งผลต่อเนื่องไปถึงการลดปัญหาเชื้อดื้อยาลงด้วย” ดร.ไพรัตน์ กล่าวCPF พัฒนาสินค้าสดกลุ่ม หมู ไก่ และไข่ ภายใต้แบรนด์ “CP Selection” เป็นอีกหนึ่งกลุ่มผลิตภัณฑ์ ที่บริษัทฯ นำนวัตกรรมโปรไบโอติกมาใช้ในอาหารสัตว์ เพื่อยกระดับความปลอดภัยให้สินค้า ด้วยหลักการ Natural Prevention เป็นการเสริมภูมิคุ้มกันให้สัตว์แข็งแรงตามธรรมชาติ โดยได้รับการรับรองมาตรฐาน NSF และ Probiotics Fed ว่าไม่ใช้ยาปฏิชีวนะ และไม่ใช้ฮอร์โมนเพื่อเร่งการเจริญเติบโตตลอดการเลี้ยงดู ตอกย้ำความเชื่อมั่นในความสด สะอาด ปลอดภัย ได้มาตรฐานระดับโลก./ CR : CPF

CPF เดินหน้าใช้ “โปรไบโอติก” เสริมสุขภาพไก่แข็งแรง ไม่ใช้ยาปฏิชีวนะ สอดคล้องหลักสวัสดิภาพสัตว์ Read More »

เตือน! “PM 2.5” แนวโน้มเพิ่มขึ้น วันนี้ กทม. พบค่าฝุ่นอยู่ในระดับสีส้ม

  กระทรวงสาธารณสุข เผยแนวโน้มฝุ่น PM 2.5 เริ่มเพิ่มขึ้น พื้นที่กทม.บางจุดคุณภาพอากาศอยู่ในระดับสีส้ม หรือเริ่มมีผลกระทบต่อสุขภาพ แนะตรวจสอบคุณภาพอากาศก่อนออกจากบ้าน กระทรวงสาธารณสุข เผยแนวโน้มฝุ่น PM 2.5 เริ่มเพิ่มขึ้น พื้นที่กทม.บางจุดคุณภาพอากาศอยู่ในระดับสีส้ม หรือเริ่มมีผลกระทบต่อสุขภาพ แนะตรวจสอบคุณภาพอากาศก่อนออกจากบ้าน  นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ขณะนี้หลายพื้นที่มีรายงานค่าฝุ่นละอองขนาดเล็กไม่เกิน 2.5 ไมโครกรัม หรือฝุ่น PM 2.5 เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในพื้นที่ กทม. วันนี้พบค่าฝุ่นในระดับสีส้ม คุณภาพอากาศเริ่มมีผลกระทบต่อสุขภาพหลายพื้นที่ ดังนั้น ขอให้ประชาชนตรวจสอบสถานการณ์ฝุ่นก่อนออกนอกบ้านจากเว็บไซต์ air4thai.pcd.go.th หรือแอปพลิเคชัน “Air4Thai” ของกรมควบคุมมลพิษ ซึ่งจะระบุค่าดัชนีคุณภาพอากาศ พร้อมระดับสี และคำแนะนำในการปฏิบัติตัว ดังนี้ -สีฟ้า ค่าฝุ่น PM 2.5 อยู่ที่ 0-25 มคก./ลบ.ม. คุณภาพอากาศอยู่ในระดับดีมาก เหมาะสำหรับกิจกรรมกลางแจ้งและการท่องเที่ยว,  -สีเขียว 26-37 มคก./ลบ.ม. คุณภาพอากาศระดับดี สามารถทำกิจกรรมกลางแจ้งและการท่องเที่ยวได้ตามปกติ ภัยเงียบ! หมอมนูญ เตือนรื้อ”หนังสือเก่าๆ”ระวังเชื้อราทำปอดติดเชื้อ ‘ฝุ่น’ แหล่งสะสมเชื้อโรคชั้นดี ทำความสะอาดง่ายๆด้วย 4 วิธีนี้ เตือน! ฝุ่นพิษ PM 2.5 ใน กทม.กลับมาแล้ว วันนี้เกินค่ามาตรฐาน 4 เขต -สีเหลือง 38-50 มคก./ลบ.ม. คุณภาพอากาศระดับปานกลาง ประชาชนทั่วไปสามารถทำกิจกรรมกลางแจ้งได้ตามปกติ ส่วนผู้ที่ต้องดูแลสุขภาพเป็นพิเศษ หากมีอาการเบื้องต้น เช่น ไอ หายใจลำบาก ระคายเคืองตา ควรลดระยะเวลาการทำกิจกรรมกลางแจ้ง -สีส้ม 51-90 มคก./ลบ.ม. คุณภาพอากาศเริ่มมีผลกระทบต่อสุขภาพ ประชาชนทั่วไป ควรเฝ้าระวังสุขภาพ ถ้ามีอาการเบื้องต้น เช่น ไอ หายใจลำบาก ระคายเคืองตา ควรลดระยะเวลาการทำกิจกรรมกลางแจ้ง หรือใช้อุปกรณ์ป้องกันตนเองหากมีความจำเป็น  ส่วนผู้ที่ต้องดูแลสุขภาพเป็นพิเศษ ควรลดระยะเวลาการทำกิจกรรมกลางแจ้ง หรือใช้อุปกรณ์ป้องกันตนเองหากมีความจำเป็น ถ้ามีอาการทางสุขภาพ เช่น ไอ หายใจลำบาก ตาอักเสบ แน่นหน้าอก ปวดศีรษะ หัวใจเต้นไม่เป็นปกติ คลื่นไส้ อ่อนเพลีย ควรปรึกษาแพทย์ ส่วนสีแดง ค่าฝุ่น PM 2.5 ตั้งแต่ 91 มคก./ลบ.ม.ขึ้นไป คุณภาพอากาศอยู่ในระดับที่มีผลกระทบต่อสุขภาพ ทุกคนควรหลีกเลี่ยงกิจกรรมกลางแจ้ง หลีกเลี่ยงพื้นที่ที่มีมลพิษทางอากาศสูง หรือใช้อุปกรณ์ป้องกันตนเองหากมีความจำเป็น และหากมีอาการทางสุขภาพควรปรึกษาแพทย์ นอกจากนี้ ขอให้ดูแลสุขภาพร่างกายให้แข็งแรง พักผ่อนให้เพียงพอ ดื่มน้ำสะอาดมากๆ กินอาหารให้ครบ 5 หมู่  เน้นผัก ผลไม้ที่มีสารต้านอนุมูลอิสระ ทำความสะอาดบ้าน และอุปกรณ์ภายในบ้าน หากค่าฝุ่นเกินมาตรฐานควรหลีกเลี่ยงการออกไปทำกิจกรรมหรือออกกำลังกายกลางแจ้ง ผู้ที่มีโรคประจำตัวควรสำรองยาและอุปกรณ์ที่จำเป็นให้พร้อม และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด และควรช่วยกันลดการสร้างมลพิษทางอากาศ เช่น การใช้เตาถ่าน การจุดธูปเทียน การเผาขยะ เป็นต้น ที่มา : กระทรวงสาธารณสุข ภาพ : TNN Online

เตือน! “PM 2.5” แนวโน้มเพิ่มขึ้น วันนี้ กทม. พบค่าฝุ่นอยู่ในระดับสีส้ม Read More »

พยากรณ์อากาศวันนี้และ 7 วันข้างหน้า ไทยตอนบนอากาศเย็นลง 1-4 องศาฯ

รวมพยากรณ์อากาศ (11 ต.ค.) สำหรับ กรุงเทพวันนี้ เชียงใหม่ ชลบุรี เชียงราย ขอนแก่น พัทยา ไทยตอนบนมีอุณหภูมิลดลง 1-4 องศาฯ ส่วนภาคกลางตอนล่าง ภาคใต้ ยังคงมีฝนตกหนักบางแห่ง กทม.ฝนตก 60% ของพื้นที่ เว็บไซต์กรมอุตุนิยมวิทยา วันนี้ (11 ต.ค. 65) พยากรณ์อากาศ 24 ชั่วโมงข้างหน้า บริเวณความกดอากาศสูงหรือมวลอากาศเย็นกำลังปานกลางจากประเทศจีนแผ่ลงมาปกคลุมภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคกลางตอนบน ทำให้ประเทศไทยตอนบนมีอุณหภูมิลดลง โดยภาคตะวันออกเฉียงเหนือ อุณหภูมิจะลดลง 2-4 องศาเซลเซียส กับมีลมแรง ส่วนภาคเหนือ ภาคกลาง ภาคตะวันออกอุณหภูมิจะลดลง 1-3 องศาเซลเซียส สำหรับภาคกลางตอนล่างยังคงมีฝนตกหนักบางแห่ง ในขณะที่ร่องมรสุมพาดผ่านบริเวณภาคใต้ตอนกลาง ทำให้ภาคใต้ฝั่งตะวันออกมีฝนตกหนักบางแห่ง ขอให้ประชาชนบริเวณดังกล่าวระวังอันตรายจากฝนตกหนักและฝนที่ตกสะสม ซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลากในระยะนี้ไว้ด้วย ส่วนคลื่นลมบริเวณอ่าวไทยมีคลื่นสูง 1-2 เมตร และบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร “ฤดูหนาว 2565” เริ่มเมื่อไหร่? อุตุฯคาดการณ์หนาวช้า แต่จะเย็นกว่าปีที่ผ่านมา คาดการณ์ฝน ส.ค. 65 ใต้ฝั่งอันดามันฝนมากสุดของประเทศ เปิดสถิติทิศทางพายุเข้าไทยเดือนส.ค.-ต.ค.ในรอบ 70 ปี พยากรณ์อากาศสำหรับประเทศไทยตั้งแต่เวลา 06.00 น. วันนี้ ถึง 06.00 น. วันพรุ่งนี้ภาคเหนือ มีฝนฟ้าคะนองร้อยละ 30 ของพื้นที่ บริเวณจังหวัดแม่ฮ่องสอน เชียงใหม่ ลำพูน ลำปาง ตาก และกำแพงเพชร โดยอุณหภูมิจะลดลง 1-3 องศาเซลเซียส อุณหภูมิต่ำสุด 22-23 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 29-33 องศาเซลเซียส ลมตะวันออก ความเร็ว 10-20 กม./ชม. ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ อุณหภูมิจะลดลง 2-4 องศาเซลเซียส กับมีลมแรง โดยมีฝนเล็กน้อยบางแห่งส่วนมากทางตอนล่างของภาค อุณหภูมิต่ำสุด 18-22 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 29-32 องศาเซลเซียส ลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 10-30 กม./ชม. ภาคกลาง มีฝนฟ้าคะนองร้อยละ 40 ของพื้นที่ กับมีฝนตกหนักบางแห่ง บริเวณจังหวัดราชบุรี และสมุทรสงคราม โดยอุณหภูมิจะลดลง 1-3 องศาเซลเซียส อุณหภูมิต่ำสุด 23-24 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 29-32 องศาเซลเซียส ลมตะวันออก ความเร็ว 10-20 กม./ชม. ภาคตะวันออก มีฝนฟ้าคะนองร้อยละ 40 ของพื้นที่ ส่วนมากบริเวณจังหวัดชลบุรี ระยอง จันทบุรี และตราด โดยอุณหภูมิจะลดลง 1-3 องศาเซลเซียส อุณหภูมิต่ำสุด 23-24 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 29-33 องศาเซลเซียส ลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 15-35 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นสูง 1-2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร ภาคใต้ฝั่งตะวันออก มีฝนฟ้าคะนองร้อยละ 70 ของพื้นที่ และมีฝนตกหนักบางแห่ง บริเวณจังหวัดเพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร และสุราษฎร์ธานี อุณหภูมิต่ำสุด 22-24 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 30-33 องศาเซลเซียส ตั้งแต่จังหวัดชุมพรขึ้นมา ลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 15-35 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นสูง 1-2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร ตั้งแต่จังหวัดสุราษฎร์ธานีลงไป ลมแปรปรวน ความเร็ว 15-35 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นสูง 1-2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร ภาคใต้ฝั่งตะวันตก มีฝนฟ้าคะนองร้อยละ 40 ของพื้นที่ บริเวณจังหวัดพังงา กระบี่ ตรัง และสตูล อุณหภูมิต่ำสุด 23-24 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 30-31 องศาเซลเซียส ลมตะวันตกเฉียงเหนือ ความเร็ว 15-30 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นสูงประมาณ 1 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 1 เมตร กรุงเทพมหานครและปริมณฑล มีฝนฟ้าคะนองร้อยละ 60 ของพื้นที่ โดยอุณหภูมิจะลดลงเล็กน้อย อุณหภูมิต่ำสุด 23-24 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 31-33 องศาเซลเซียส ลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 10-20 กม./ชม. พยากรณ์อากาศ 7 วันข้างหน้า ระหว่างวันที่ 10 – 16 ตุลาคม 2565 คาดหมายลักษณะอากาศ ในช่วงวันที่ 11-16 ต.ค. 65 บริเวณความกดอากาศสูงหรือมวลอากาศเย็นกำลังปานกลางจากประเทศจีนแผ่ลงมาปกคลุมประเทศไทยตอนบนและทะเลจีนใต้ ทำให้ฝนลดลงและอุณหภูมิจะลดลง 3-5 องศาเซลเซียสกับมีลมแรงในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ส่วนภาคเหนือ ภาคกลาง ภาคตะวันออก อุณหภูมิจะลดลง 1-3 องศาเซลเซียส ในขณะที่ร่องมรสุมพาดผ่านภาคใต้ตอนกลาง ทำให้ภาคใต้มีฝนตกต่อเนื่องและมีฝนตกหนักถึงหนักมากบางแห่ง อนึ่ง ในช่วงวันที่ 12 – 13 ตุลาคม 65 หย่อมความกดอากาศต่ำที่ปกคลุมบริเวณทะเลจีนใต้ตอนกลาง คาดว่าจะเคลื่อนเข้าใกล้ชายฝั่งประเทศเวียดนามตอนใต้ในช่วงวันที่ 13 – 14 ตุลาคม 65 ทำให้ในช่วงวันที่ 14 – 15 ต.ค. 65 ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง ภาคตะวันออก ภาคกลางรวมทั้งกรุงเทพมหานครและปริมณฑลมีฝนเพิ่มขึ้น ข้อควรระวัง ขอให้ประชาชนบริเวณประเทศไทยตอนบนดูแลรักษาสุขภาพเนื่องจากสภาพอากาศแปรปรวน และประชาชนบริเวณภาคใต้ระวังอันตรายจากฝนตกหนักและฝนที่ตกสะสม ซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลาก โดยเฉพาะพื้นที่ลาดเชิงเขาใกล้ทางน้ำไหลผ่านและพื้นที่ลุ่มไว้ด้วย และขอให้ชาวเรือเดินเรือด้วยความระมัดระวังและหลีกเลี่ยงการเดินเรือในบริเวณฝนฟ้าคะนอง พยากรณ์อากาศกรุงเทพ > ในช่วงวันที่ 10 – 11 ต.ค. 65 มีฝนฟ้าคะนองร้อยละ 60-80 ของพื้นที่ และมีฝนตกหนักบางแห่ง ลมตะวันออก ความเร็ว 10-20 กม./ชม. ส่วนในช่วงวันที่ 12 – 16 ต.ค. 65 มีฝนฟ้าคะนองร้อยละ 10-30 ของพื้นที่ โดยอุณหภูมิจะลดลง 1 – 2 องศาเซลเซียส ลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 10-25 กม./ชม. อุณหภูมิต่ำสุด 23-27 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 30-34 องศาเซลเซียส พยากรณ์อากาศเชียงใหม่ > มีฝนฟ้าคะนองร้อยละ 30 ของพื้นที่ อุณหภูมิต่ำสุด 22 องศาฯ พยากรณ์อากาศชลบุรี > ทะเลเรียบ มีฝนฟ้าคะนองร้อยละ 60 ของพื้นที่ พยากรณ์อากาศเชียงราย > มีฝนฟ้าคะนองร้อยละ 10 ของพื้นที่ อุณหภูมิต่ำสุด 21 องศาฯ พยากรณ์อากาศขอนแก่น > อากาศเย็นมีฝนฟ้าคะนองร้อยละ 10 ของพื้นที่ อุณหภูมิต่ำสุด 21 องศาฯ ที่มาข้อมูลข่าว กรมอุตุนิยมวิทยา ภาพโดย TNN ONLINE

พยากรณ์อากาศวันนี้และ 7 วันข้างหน้า ไทยตอนบนอากาศเย็นลง 1-4 องศาฯ Read More »

พื้นที่ไหนฝนตกหนัก? พยากรณ์ฝนรายวันทุกๆ 24 ชั่วโมง 4-13 ต.ค.65

     พยากรณ์ฝนรายวัน ทุกๆ 24 ชม. ระหว่าง 4-13 ต.ค. 65 ภาคเหนือและภาคอีสาน จะเริ่มเบาลงบ้าง แต่ภาคกลาง กทม.และปริมณฑล ภาคตะวันออก และภาคใต้ ยังมีฝนตกต่อเนื่อง มีฝนตกหนัก กรมอุตุนิยมวิทยา รายงานข้อมูลพยากรณ์ฝนรายวัน (ทุกๆ 24 ชั่วโมง) ระหว่าง 4-13 ต.ค. 65 อัพเดท 2022100312 จาก ECMWF : วันที่ 4-9  ต.ค. 65 ฝนทางตอนบนของภาคเหนือและภาคอีสาน จะเริ่มเบาลงบ้าง แต่ภาคกลาง (กทม.และปริมณฑล) ภาคตะวันออก และภาคใต้ ยังมีฝนตกต่อเนื่อง มีฝนตกหนัก เนื่องมาจากมวลอากาศเย็นแผ่ลงมาปกคลุมทางตอนบน ทำให้ร่องมรสุมพาดผ่านภาคอีสานสานตอนล่าง ภาคกลาง และภาคตะวันออก พยากรณ์อากาศวันนี้และ 7 วันข้างหน้า ทั่วไทยฝนตกหนัก กทม.วันนี้มีฝน 80% สภาพอากาศวันนี้ อุตุฯประกาศพื้นที่เสี่ยงภัยระดับสีแดง 4 จังหวัด ฝนตกหนักมาก! บางนาท่วมหนักหลังฝนถล่มนานต่อเนื่องหลาย ชม. ประกอบกับมรสุมตะวันตกเฉียงใต้กำลังปานกลางยังคงพัดปกคลุมทะเลอันดามัน ภาคใต้ และอ่าวไทย และมีลมตะวันออก ลมตะวันออกเฉียงใต้ พัดปกคลุมภาคอีสานเสริมอีกแรง จึงยังต้องระวังอันตรายจากฝนตกหนักและฝนที่ตกสะสมซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลาก โดยเฉพาะพื้นที่ลาดเชิงเขาใกล้ทางน้ำไหลผ่านและพื้นที่ลุ่มในระยะนี้ คลื่นลมบริเวณทะเลอันดามันและอ่าวไทยมีกำลังปานกลาง โดยทะเลอันดามันตอนบนและอ่าวไทยตอนบนทะเลมีคลื่นสูง 1-2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ขอให้ชาวเรือเดินเรือด้วยความระมัดระวัง และหลีกเลี่ยงบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนอง วันที่ 10 -13 ต.ค.65 จะมีฝนเพิ่มขึ้นในระยะแรก(10 ต.ค.65) หลังจากนั้นฝนจะเริ่มลดลงชัดเจน ทิศทางลมเริ่มเปลี่ยนแปลงทิศทาง เนื่องจากมีมวลอากาศเย็น (ความกดอากาศสูง) แผ่ลงมาปกคลุม ทางภาคเหนือ ภาคอีสานตอนบน จึงทำลมเริ่มเปลี่ยนทิศ เป็นลมตะวันออก ตะวันออกเฉียงเหนือมากขึ้น เป็นสัญญาณการเริ่มเปลี่ยนแปลงฤดูกาล (จากฤดูฝนเป็นฤดูหนาว) ช่วงแรกอากาศจะมีความแปรปรวน ฝนตอนบนเริ่มเบาลงบ้าง ฝนจะยังตกบริเวณภาคอีสานตอนล่าง ภาคกลาง ภาคตะวันออก (ข้อมูลนี้อาจจะมีการเปลี่ยนแปลงได้ ตามข้อมูลนำเข้าใหม่) ข้อมูลจาก กรมอุตุนิยมวิทยา ภาพจาก กรมอุตุนิยมวิทยา

พื้นที่ไหนฝนตกหนัก? พยากรณ์ฝนรายวันทุกๆ 24 ชั่วโมง 4-13 ต.ค.65 Read More »

กางแผนที่ 34 จังหวัด สภาพอากาศ ‘ฝนตกหนัก’ ระดับสีเหลืองถึงเช้าพรุ่งนี้

วันนี้ ( 30 ก.ย. 65 )กรมอุตุนิยมวิทยา พยากรณ์ สภาพอากาศ 24 ชั่วโมงข้างหน้า หย่อมความกดอากาศต่ำกำลังแรงปกคลุมบริเวณภาคเหนือตอนล่าง ภาคกลางตอนบน และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ประกอบกับมรสุมตะวันตกเฉียงใต้กำลังแรงพัดปกคลุมทะเลอันดามัน ภาคใต้ และอ่าวไทย ลักษณะเช่นนี้ทำให้ประเทศไทยมีฝนตกหนักบางแห่ง ในภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง รวมทั้งกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ภาคตะวันออก และภาคใต้ ขอให้ประชาชนในบริเวณดังกล่าวระวังอันตรายจากฝนตกหนักและฝนที่ตกสะสม ซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลาก โดยเฉพาะพื้นที่ลาดเชิงเขาใกล้ทางน้ำไหลผ่านและพื้นที่ลุ่มในระยะนี้ สำหรับ สภาพอากาศคลื่นลมบริเวณทะเลอันดามันและอ่าวไทยมีกำลังค่อนข้างแรง โดยทะเลอันดามันตอนบนและอ่าวไทยตอนบนทะเลมีคลื่นสูง 2–3 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 3 เมตร ขอให้ชาวเรือเดินเรือด้วยความระมัดระวัง และหลีกเลี่ยงบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนอง เรือเล็กบริเวณทะเลอันดามันและอ่าวไทยตอนบน ควรงดออกจากฝั่งจนถึงวันที่ 1 ต.ค. 65 นอกจากนี้ กรมอุตุนิยมวิทยา ได้แสดงแผนที่แสดงพื้นที่เสี่ยงภัยฝนตกหนักระดับสีเหลือง ตั้งแต่ 06.00 น. วันนี้ถึงเวลา 06.00 น. ของวันพรุ่งนี้ โดยมีรายละเอียด ดังนี้ กทม.และปริมณฑล พยากรณ์อากาศวันนี้และ 7 วันข้างหน้า ทั่วไทยยังมีฝนตกหนัก เตือนน้ำท่วม-น้ำป่าไหลหลาก สภาพอากาศ ไทยเตรียมรับมือ “พายุ 4 ลูก” ล่าสุดอุตุฯชี้แจงแล้ว? สถานการณ์น้ำท่วมปทุมธานี อัปเดตล่าสุดเช็กเลยมีจุดไหนบ้าง 1.กรุงเทพมหานคร 2.นนทบุรี 3.ปทุมธานี 4.สมุทรปราการ ภาคเหนือ 5.แม่ฮ่องสอน 6.เชียงใหม่ 7.ลำปาง 8.ลำพูน 9.น่าน 10.แพร่ 11.ตาก ภาคกลาง 12.สุโขทัย 13.อุตรดิตถ์ 14.พิษณุโลก 15.กำแพงเพชร 16.พิจิตร 17.นครสวรรค์ 18.เพชรบูรณ์ 19.นครสวรรค์ 20.อุทัยธานี 21.ชัยนาท 22.กาญจนบุรี 23.ราชบุรี ภาคอีสาน 24.เลย 25.ชัยภูมิ 26.นครราชสีมา 27.บุรีรัมย์ 28.สุรินทร์ ภาคตะวันออก  29.ระยอง 30.จันทบุรี 31.ตราด ภาคใต้ 32.ระนอง 33.พังงา 34.กระบี่ ข้อมูลจาก  : กรมอุตุนิยมวิทยา ภาพจาก  :  TNN ONLINE

กางแผนที่ 34 จังหวัด สภาพอากาศ ‘ฝนตกหนัก’ ระดับสีเหลืองถึงเช้าพรุ่งนี้ Read More »

CPF คว้า 27 รางวัล CSR-DIW Continuous Award 2022 จาก ก.อุตสาหกรรม ต่อเนื่องปีที่ 14

CPF คว้า 27 รางวัล CSR-DIW Continuous Award 2022 จาก ก.อุตสาหกรรม ต่อเนื่องปีที่ 14 นายวันชัย พนมชัย อธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม มอบโล่รางวัลและเกียรติบัตร CSR-DIW Continuous Award 2022 ในโครงการส่งเสริมโรงงานอุตสาหกรรมให้มีความรับผิดชอบต่อสังคมและชุมชนเพื่อเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน (CSR-DIW to achieve SDGs) ประจำปี 2565 จัดโดย กรมโรงงานอุตสาหกรรม ให้แก่ 27 สถานประกอบการของ CPF ต่อเนื่องเป็นปีที่ 14คุณเรวัติ หทัยสัตยพงศ์ รองกรรมการผู้จัดการบริหาร ธุรกิจอาหารสัตว์บก CPF เปิดเผยว่า บริษัทฯ เข้าร่วมโครงการ CSR-DIW ตั้งแต่ปี 2552 เป็นต้นมา ปีนี้มีสถานประกอบการ 27 แห่ง ได้รับรางวัล CSR-DIW Continuous Award แสดงให้เห็นความมุ่งมั่นในการรักษามาตรฐานการดำเนินธุรกิจโดยคำนึงถึงความยั่งยืน ร่วมดูแลสังคมและสิ่งแวดล้อม ส่งเสริมให้พนักงานดูแลชุมชนและอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุขในฐานะสมาชิกของชุมชน ตลอดจนการปฏิบัติตามมาตรฐานความรับผิดชอบของผู้ประกอบการอุตสาหกรรมที่มีต่อสังคมอย่างต่อเนื่อง “CPF ยึดแนวทางการดำเนินงานภายใต้กลยุทธ์ 3 เสาหลัก คือ อาหารมั่นคง สังคมพึ่งตน และดินน้ำป่าคงอยู่ ส่งผลบวกทั้งมิติด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม และสอดคล้องตามหลักปรัชญา 3 ประโยชน์สู่ความยั่งยืนของเครือเจริญโภคภัณฑ์ คือ ประโยชน์ต่อประเทศชาติ ประชาชน และบริษัท ทำให้บริษัทฯ ได้รับรางวัลและเกียรติบัตรในโครงการ CSR-DIW อย่างต่อเนื่อง” คุณเรวัติ กล่าวนอกจากนี้ บริษัทฯ ยังประกาศกลยุทธ์ความยั่งยืน CPF 2030 Sustainability in Action เพื่อสนับสนุนเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนแห่งสหประชาชาติ (Sustainable Development Goals : SDGs) ทางตรงทั้ง 17 เป้าหมาย ซึ่งภายใต้กลยุทธ์ดังกล่าว CPF ให้ความสำคัญกับการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้ทรัพยากรเกิดประโยชน์สูงสุด ภายใต้แนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) อาทิ การใช้พลังงานและน้ำอย่างมีประสิทธิภาพตลอดกระบวนการผลิต วางเป้าหมายเป็นองค์กรที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net-Zero Emissions) ภายในปี 2050 (พ.ศ.2593) กำหนดนโยบายยกเลิกการใช้ถ่านหิน 100% สำหรับกิจการในไทยภายในปี 2565 และเพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานหมุนเวียน (Renewable Energy) ทั้งชีวมวล ก๊าซชีวภาพ แสงอาทิตย์ ปัจจุบันมีสัดส่วนการใช้พลังงานหมุนเวียนอยู่ที่ 27% ของการใช้พลังงานทั้งหมด การผลิตบรรจุภัณฑ์รักษ์โลกเพื่อผลิตภัณฑ์ที่ยั่งยืน ขณะเดียวกัน ยังร่วมปกป้องความหลากหลายทางชีวภาพ ผ่านโครงการอนุรักษ์และฟื้นฟูป่าต้นน้ำและป่าชายเลน ซึ่งเป็นทรัพยากรที่สำคัญและเป็นต้นทางของการสร้างความมั่นคงทางอาหารสำหรับสถานประกอบการ 27 แห่ง ที่ได้รับรางวัล CSR-DIW Continuous Award 2022 ได้แก่ โรงงานผลิตอาหารสัตว์น้ำบ้านพรุ, โรงงานผลิตอาหารสัตว์น้ำมหาชัย, โรงงานอาหารแปรรูปสัตว์น้ำแกลง, โรงงานผลิตอาหารสัตว์ขอนแก่น, โรงงานแปรรูปเนื้อไก่โชคชัย นครราชสีมา, โรงงานแปรรูปเนื้อไก่-เป็ด บางนา, โรงงานแปรรูปเนื้อไก่มีนบุรี, โรงงานแปรรูปเนื้อไก่ สระบุรี, โรงงานผลิตอาหารสัตว์โคกกรวด, โรงงานผลิตอาหารสัตว์ท่าเรือ, โรงงานผลิตอาหารสัตว์ธารเกษม, โรงงานผลิตอาหารสัตว์บกหนองแค, โรงงานผลิตอาหารสัตว์ปักธงชัย, โรงงานผลิตอาหารสัตว์ลำพูน, โรงงานอาหารแปรรูปมีนบุรี 1, โรงงานอาหารแปรรูป มีนบุรี 2, โรงงานอาหารสัตว์บกพิษณุโลก, โรงงานอาหารสำเร็จรูปแปดริ้ว, ธุรกิจซอส พรีมิกซ์ เครื่องปรุง, ธุรกิจผลิตอาหารสำเร็จรูป สระบุรี, โรงงานอาหารสำเร็จรูปมหาชัย, อสร.หนองจอก, โรงงานผลิตอาหารสัตว์บางนา กม. 21, โรงงานผลิตอาหารสัตว์หาดใหญ่, โรงงานผลิตอาหารสัตว์ราชบุรี, โรงงานผลิตอาหารสัตว์ศรีราชา และโรงคัดไข่และแปรรูปไข่บ้านนา./ 

CPF คว้า 27 รางวัล CSR-DIW Continuous Award 2022 จาก ก.อุตสาหกรรม ต่อเนื่องปีที่ 14 Read More »

ค่านิยมองค์กร 6 ประการ (SIX CORE VALUES) นับเป็นเวลาหนึ่งศตวรรษที่เครือเจริญโภคภัณฑ์ได้รับความไว้วางใจจากสังคมไทยและสังคมโลกและเครือฯ

ค่านิยมองค์กร 6 ประการ (SIX CORE VALUES)นับเป็นเวลาหนึ่งศตวรรษที่เครือเจริญโภคภัณฑ์ได้รับความไว้วางใจจากสังคมไทยและสังคมโลกและเครือฯ ยังคงมุ่งมั่นพัฒนาต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง เพื่อนำความผาสุก คุณภาพชีวิตที่ดีสู่ประชาชน สร้างสรรค์และพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ให้เติบโตอย่างยั่งยืน ต้นไม้ตั้งตระหง่านอยู่ได้ต้องมีรากแก้วที่มั่นคงเช่นเดียวกับธุรกิจของเครือเจริญโภคภัณฑ์ที่ก้าวหน้าและเติบโตอย่างยั่งยืน เพราะตั้งมั่นอยู่บนค่านิยมองค์กรที่ถ่ายทอดกันมาจากรุ่นสู่รุ่น เป็นจิตวิญญาณที่มุ่งมั่นพัฒนา ต่อยอดความสามารถในการบริหารธุรกิจบนฐานของคุณธรรม จริยธรรม ภายใต้ค่านิยมองค์กร 6 ประการ ประกอบด้วย 3 ประโยชน์ไม่มีองค์กรธุรกิจใดในโลกที่เติบโตอย่างมั่นคงแข็งแรงได้โดยลำพัง หากแต่ต้องมีความเข็มแข็งของประชาชน สังคม และประเทศชาติเคียงข้างด้วยเสมอ เช่นเดียวกันกับเครือเจริญโภคภัณฑ์ที่สามารถนำพาองค์กรเติบโตอย่างยั่งยืน เพราะดำเนินธุรกิจโดยยึดหลัก ‘3ประโยชน์’ ตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน ได้แก่ ประโยชน์ต่อประเทศที่เข้าไปลงทุน ประโยชน์ต่อประชาชนในทุกประเทศที่เข้าไปลงทุน และประโยชน์ต่อบริษัท ซึ่งเครือฯ ได้ปลูกฝังแนวคิดค่านิยมนี้มาตั้งแต่ยุคบุกเบิกธุรกิจสู่การกระทำที่มุ่งหวังให้ประเทศที่ได้ลงทุนเกิดประโยชน์และธุรกิจเติบโตก้าวหน้า ทำเร็วและมีคุณภาพการดำเนินธุรกิจในยุคโลกไร้พรมแดนเช่นปัจจุบัน สิ่งสำคัญที่ทำให้ธุรกิจอยู่รอดและเติบโตก้าวหน้าได้อย่างยั่งยืน คือ ‘ทำเร็ว’ และ ‘มีคุณภาพ’ เพื่อให้ธุรกิจก้าวทันการเปลี่ยนแปลง ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนแปลงในด้านเทคโนโลยี ข้อมูลข่าวสาร พฤติกรรมผู้บริโภค และกฏระเบียบการค้าต่างๆ เครือฯ จึงต้องคิดเร็ว ทำเร็ว และทำอย่างมีคุณภาพ ถือเป็นนโยบายสำคัญในการดำเนินธุรกิจที่ทุกคนในองค์กรได้ยึดถือและปฏิบัติ ทำเรื่องยากให้เป็นเรื่องง่ายเครือเจริญโภคภัณฑ์มีการลงทุนใน 21 ประเทศและเขตเศรษฐกิจ มีบริษัทในเครือมากกว่า 200 บริษัท และมีพนักงานทั้งหมดกว่า 300,000 คน โดยเครือฯ ให้ความสำคัญกับการพัฒนาปรับปรุงขั้นตอนและกระบวนการทำงานให้รวดเร็ว ลดขั้นตอนต่างๆ ที่ไม่จำเป็น โดยมีนวัตกรรมและเทคโนโลยีที่ทำให้การทำงานง่ายขึ้น สะดวกขึ้น เพื่อให้การบริหารงานมีประสิทธิภาพและมีประสิทธิผล ‘การทำเรื่องยากเป็นเรื่องง่าย’ จึงเป็นข้อปฏิบัติที่สำคัญของทุกคนในองค์กรที่จะนำมาซึ่งความสำเร็จในการดำเนินธุรกิจของเครือฯ นับแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ยอมรับการเปลี่ยนแปลงโลกเต็มไปด้วยการเปลี่ยนแปลง ทั้งการเปลี่ยนแปลงทางสภาพสังคม เศรษฐกิจ การเมือง เทคโนโลยี และพฤติกรรมผู้บริโภค รวมไปถึงการเปลี่ยนแปลงทางด้านภูมิอากาศและภัยพิบัติต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นอย่างฉับพลัน ดังนั้น กลยุทธ์สำคัญที่ทำให้เครรือเจริญโภคภัณฑ์เกิดความยั่งยืนได้คือ ‘การยอมรับการเปลี่ยนแปลง’ เพื่อให้สามารถปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ได้ตลอดเวลา การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ช่วยให้เครือฯ เกิดการปรับตัวพยายามค้นคว้า ศึกษา วิจัยมองหาโอกาสใหม่ไม่หยุดนิ่ง ทั้งยังมุ่งมั่นพัฒนาเพื่อสิ่งที่ดีกว่า เพื่อตอบสนองทุกความต้องการของผู้บริโภคและประเทศชาติ สร้างสรรค์สิ่งใหม่บนวิถีแห่งการดำเนินธุรกิจ ความคิดสร้างสรรค์คือพลังขับเคลื่อนให้เกิดความก้าวหน้าในทุกระดับของการดำเนินธุรกิจ ทั้งแนวคิด วิธีการ กระบวนการ ผลิตภัณฑ์ และบริการ เพราะโลกไม่หยุดนิ่ง ธุรกิจจึงต้องสร้างสรรค์นวัตกรรมตลอดเวลา พนักงานเครือเจริญโภคภัณฑ์จึงทำงานด้วยความพร้อมที่จะ ‘สร้างสรรค์สิ่งใหม่’ ที่ดีกว่า ‘องค์กรแห่งนวัตกรรม’ คือเป้าหมายที่ทุกองค์กรในเครือฯ กำลังมุ่งมั่นขับเคลื่อนและแน่นอนว่า ผลสุดท้ายย่อมนำมาซึ่งการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์และบริการที่ดีที่สุดสำหรับผู้บริโภค คุณธรรมและความซื่อสัตย์เครือเจริญโภคภัณฑ์ดำเนินกิจการมายาวนานกว่าศตวรรษด้วยยึดมั่นในหลักการของความซื่อสัตย์และมีคุณธรรมอย่างต่อเนื่องจวบจนปัจจุบันที่ธุรกิจเครือฯ แตกแขนงไปมากมาย ความซื่อสัตย์และมีคุณธรรมยังคงเป็นเสาหลักขององค์กร เราคำนึงอยู่เสมอว่า ธุรกิจการค้าที่มุ่งหวังผลประโยชน์แต่เพียงฝ่ายเดียวย่อมไม่อาจดำรงยืนนาน และไม่อาจได้รับความไว้เนื้อเชื่อใจ ทั้งจากคู้ค้า ผู้บริโภค และผู้มีส่วนได้ส่วนเสียอื่นๆ ในภาคสังคม ดังนั้น ไม่ว่าจะจำหน่ายสินค้าเพียง 1 ชิ้น หรือจำหน่ายสินค้าเป็นร้อยๆ ตัน เราก็ต้องยึดมั่นบนหลักการของ ‘คุณธรรมและความซื่อสัตย์’

ค่านิยมองค์กร 6 ประการ (SIX CORE VALUES) นับเป็นเวลาหนึ่งศตวรรษที่เครือเจริญโภคภัณฑ์ได้รับความไว้วางใจจากสังคมไทยและสังคมโลกและเครือฯ Read More »

5 ทศวรรษ ซีพีเอฟนำระบบคอนแทรคฟาร์มมิ่ง สร้างความเป็นอยู่ที่ดีให้เกษตรกรไทย

บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ ยก “โครงการส่งเสริมการเลี้ยงสัตว์แก่เกษตรกรรายย่อย” ที่ดำเนินต่อเนื่องตลอด 5 ทศวรรษ ได้ร่วมสนับสนุนความมั่นคงทางอาชีพและรายได้ให้แก่เกษตรกรรายย่อยของไทยมีความเป็นอยู่ที่ดีอย่างยั่งยืน พึ่งพาตนเองอย่างเข้มแข็ง มีส่วนช่วยส่งเสริมเศรษฐกิจในระดับชุมชนและประเทศ ควบคู่กับการผลิตเนื้อสัตว์ที่รับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม สร้างความมั่นคงด้านอาหารให้คนไทย สมพร เจิมพงศ์ รองกรรมการผู้จัดการซีพีเอฟ กล่าวว่า ตลอดระยะเวลา 47 ปี นับตั้งแต่ ซีพีเอฟได้ริเริ่มโครงการส่งเสริมการเลี้ยงสัตว์แก่เกษตรกรรายย่อย  ตั้งแต่ปี 2518  นอกจากช่วยสนับสนุนให้เกษตรกรเป็นผู้ผลิตสินค้าเกษตรทั้งสุกร ไก่เนื้อ และไก่ไข่ ที่มีคุณภาพ ได้มาตรฐาน สอดคล้องกับความต้องการของตลาด โดยประยุกต์ใช้ระบบคอนแทรคฟาร์มมิ่ง มีส่วนช่วยสร้างอาชีพและรายได้ที่มั่นคงให้กับเกษตรกร สามารถพึ่งพาตนเองได้และมีคุณภาพชีวิตที่ดี โครงการฯ ช่วยสร้างผลกระทบเชิงบวกให้กับชุมชน สังคม และสิ่งแวดล้อม ตั้งแต่ การขจัดความยากจน การสร้างความมั่นคงทางอาหาร ส่งเสริมให้เกษตรกรมีความรู้ในการผลิตเนื้อสัตว์ที่มีประสิทธิภาพ มีความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม สามารถส่งต่อให้ลูกหลานสืบทอดเป็นอาชีพเลี้ยงตนเองต่อได้ ตอบโจทย์เป้าหมายกลยุทธ์ความยั่งยืน CPF 2030 Sustainability in Action ภายใต้เสาหลัก อาหารมั่นคง และสังคมพึ่งตนสอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนขององค์การสหประชาชาติ (SDGs) ปัจจุบัน มีเกษตรกรกว่า 5,900 ครอบครัวที่เข้าร่วมโครงการฯ ช่วยสนับสนุนงานที่มีคุณค่าให้กับเกษตรกรไทย โดยบริษัทเป็นผู้ถ่ายทอดให้เกษตรกรมีความรู้และเทคโนโลยีในการผลิตสินค้าได้ประสิทธิภาพ มีผลผลิตแน่นอน มีแหล่งรับซื้อผลผลิตในราคาที่ตกลงไว้ล่วงหน้า เกษตรกรสามารถเข้าถึงแหล่งทุนในการขยายกิจการ ช่วยลดความเสี่ยงให้สามารถดำเนินการผลิตเนื้อสัตว์ได้ต่อเนื่อง ร่วมสนับสนุนความมั่นคงด้านอาหารให้กับคนทั้งประเทศ “ระบบคอนแทรคฟาร์มมิ่งช่วยแก้ปัญหาความยากจนและหนี้สินครัวเรือนของเกษตรกรไทย ลูกหลานของเกษตรกรมีโอกาสทางการศึกษาในระดับสูงมากขึ้น และหลายคนกลับมาสานต่ออาชีพของพ่อแม่ ร่วมพัฒนาให้การผลิตมีความทันสมัยขึ้นโดยประยุกต์ใช้เทคโนโลยีและระบบอัตโนมัติเข้ามาช่วยการผลิต ก้าวสู่การเป็นเกษตรกรยุค 4.0” สมพรกล่าว โครงการฯ ส่งเสริมให้เกษตรกรยกระดับระบบผลิตอาหารที่เป็นมิตรต่อชุมชนและสิ่งแวดล้อมตามมาตรฐานฟาร์มสีเขียว (CPF Green Farm) ไม่เพียงส่งเสริมให้เกษตรกรสามารถใช้พลังงานให้เกิดประโยชน์สูงสุด โดยระบบก๊าซชีวภาพ (biogas system)ช่วยจัดการของเสียและนำไปใช้เป็นพลังงานไฟฟ้าภายในฟาร์ม ร่วมลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกขณะเดียวกัน ฟาร์มเกษตรกรบางพื้นที่ยังแบ่งปันน้ำที่ผ่านการบำบัดได้มาตรฐานแล้วให้กับเพื่อนเกษตรกรที่ทำอาชีพเพาะปลูกในช่วงหน้าแล้ง รวมทั้งถ่ายทอดความรู้ด้านการดำเนินงานที่รับผิดชอบเป็นสมาชิกที่ดีของชุมชน อาทิ การจัดการแรงงานการจัดการสิ่งแวดล้อม การเลี้ยงสัตว์ตามหลักสวัสดิภาพสัตว์ เป็นต้น ซีพีเอฟถ่ายทอดองค์ความรู้ และความเชี่ยวชาญต่างๆ ให้แก่เกษตรกรในโครงการฯ เป็นประจำทุกปี ช่วยสนับสนุนการทำปศุสัตว์อย่างยั่งยืน และเกษตรกรสามารถปรับตัวรับมือกับความเปลี่ยนแปลงได้  โดยเฉพาะความเสี่ยงเรื่องโรคระบาด เกษตรกรเตรียมความพร้อมยกระดับระบบการจัดการฟาร์ม และระบบป้องกันโรคที่ดี  ช่วยให้เกษตรกรในโครงการฯ ส่วนใหญ่สามารถป้องกันโรค ASF ได้อย่างมั่นใจ จากความสำเร็จมานานถึง 5 ทศวรรษ องค์กรอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO) ได้เชิญผู้เชี่ยวชาญของบริษัทฯ แบ่งปันความรู้แก่เจ้าหน้าที่เกษตร FAO จากหลายประเทศทั่วโลก และนำสัญญาคอนแทรคฟาร์มมิ่งที่ปรับปรุงให้สอดคล้องกับแนวทางสากลของ UNIDROIT หน่วยงานอิสระทางกฎหมายสากลอันดับ 1 ของโลก มาเป็นต้นแบบให้หลายๆ ประเทศได้นำไปศึกษาและประยุกต์ใช้ให้เหมาะสมกับบริบทของแต่ละประเทศต่อไป

5 ทศวรรษ ซีพีเอฟนำระบบคอนแทรคฟาร์มมิ่ง สร้างความเป็นอยู่ที่ดีให้เกษตรกรไทย Read More »

ส่งออกไก่ไทยฉลุย 9 แสนตัน ยืนหนึ่งมาตรฐานสวัสดิภาพสัตว์สากล

นายคึกฤทธิ์ อารีปกรณ์ ผู้จัดการสมาคมผู้ผลิตไก่เพื่อส่งออกไทย กล่าวว่า ไทยในฐานะผู้ส่งออกเนื้อไก่รายใหญ่อันดับ 4 ของโลก ให้ความสำคัญในการพัฒนาอุตสาหกรรมส่งออกเนื้อไก่มาโดยตลอด ทั้งการปฏิบัติตามข้อกำหนดทางการเกษตรที่ดี (Good Agricultural Practices : GAP) ตั้งแต่องค์ประกอบของฟาร์ม เช่น อาหาร น้ำ การจัดการฟาร์ม การจัดการสวัสดิภาพสัตว์ (Animal Welfare) และสิ่งแวดล้อม เพื่อส่งเสริมไก่ให้มีสุขภาพดี ปราศจากยาปฏิชีวนะ ตามมาตรฐานฟาร์มของกรมปศุสัตว์อย่างเข้มงวดตลอดห่วงโซ่การผลิต ส่งผลดีต่อเนื้อไก่และเหมาะสมในการนำไปผลิตเป็นอาหารที่ปลอดภัยสำหรับการบริโภค นอกจากนี้ ผู้ส่งออกเนื้อไก่ไทยต้องผ่านการรับรองมาตรฐานฟาร์มที่ดีจากกรมปศุสัตว์ เนื้อไก่ที่นำไปผลิตอาหารต้องมาจากฟาร์มที่ตั้งอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ไม่เสี่ยงจากการปนเปื้อนของอันตรายทางกายภาพ เคมีและชีวภาพ ที่อาจเป็นอันตรายต่อสุขอนามัยของไก่ ไม่เลี้ยงไก่หนาแน่นเพื่อให้ไก่อยู่สบาย และสัตว์ต้องได้รับการดูแลอย่างดีตั้งแต่ฟาร์มจนถึงโรงงานแปรรูปไม่ให้มีการทรมานสัตว์ตามหลักสวัสดิภาพสัตว์ เป็นต้น สมาคมฯ ตั้งเป้าส่งออกไก่สดแช่เย็นแช่แข็งและไก่แปรรูปในปี 2564 รวม 900,000 ตัน มูลค่า 101,000 ล้านบาท ขณะที่กระทรวงพาณิชย์รายงานว่า ในปี 2563 ไทยเป็นผู้ส่งออกเนื้อไก่อันดับที่ 4 ของโลก รองจากบราซิล สหรัฐอเมริกาและสหภาพยุโรป โดยไทยมีปริมาณส่งออกสินค้าเนื้อไก่และผลิตภัณฑ์ทั้งหมด 981,089 ตัน มูลค่า 107,828 ล้านบาท “ไทยคุมเข้มมาตรฐานการผลิตและการส่งออกเนื้อไก่ในระดับสูง โดยเฉพาะตลาดหลักของไทย คือ ญี่ปุ่น และสหภาพยุโรป ซึ่งเป็นตลาดที่มีกฎเกณฑ์ด้านสุขอนามัยสูงมาก (Sanitary and Phytosanitary :SPS) ทั้งมาตรฐานฟาร์มและการปฏิบัติตามหลักสวัสดิภาพสัตว์อย่างเท่าเทียม ซึ่งผู้ส่งออกไทยผ่านการรับรองมาตรฐานตามข้อกำหนดทั้งหมด และผ่านการตรวจสอบจากหน่วยงานสากลที่ได้รับมอบหมายจากลูกค้าเสมอ” นายคึกฤทธิ์ กล่าว ผู้ส่งออกไทยยังต้องผ่านการตรวจสอบมาตรฐานอย่างต่อเนื่องจากกรมปศุสัตว์ ทั้งมาตรฐานฟาร์มและโรงงาน ให้มีการปฏิบัติตามมาตรฐานในประเทศและมาตรฐานสากลอย่างเคร่งครัด สร้างหลักประกันอาหารปลอดภัยเป็นที่ยอมรับจากผู้บริโภค นายคึกฤทธิ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า นอกจาก GAP และหลักสวัสดิภาพสัตว์สากลที่ผู้ส่งออกไทยผ่านมาตรฐานแล้ว ไทยยังคำนึงถึงการใช้ยาปฏิชีวนะด้วยความรับผิดชอบ (Prudent Use of Antibiotics) โดยสัตวแพทย์ ซึ่งเป็นผู้ควบคุมกำกับดูแลทั้งสุขภาพสัตว์และสุขอนามัยภายในฟาร์ม ควบคู่กับการระบบการป้องกันโรคทางชีวภาพ (Bio-security) เพื่อป้องกันโรคระบาดสัตว์ สร้างความมั่นใจให้กับผู้บริโภคภายใต้หลักการสุขภาพหนึ่งเดียว (One Health) ทำให้คนไทยและผู้บริโภคทั่วโลกได้รับประทานเนื้อไก่ที่เป็นมาตรฐานเดียวกัน ที่มา : กรุงเทพธุรกิจ

ส่งออกไก่ไทยฉลุย 9 แสนตัน ยืนหนึ่งมาตรฐานสวัสดิภาพสัตว์สากล Read More »

วัตถุดิบอาหารสัตว์พุ่งต่อเนื่อง แนะรัฐเร่งแก้ไขก่อนเกิดวิกฤตขาดแคลนอาหารสัตว์

สมาคมผู้ผลิตอาหารสัตว์ไทยเผยตัวเลขราคาวัตถุดิบอาหารสัตว์พุ่งสูงขึ้นต่อเนื่อง ส่งสัญญาณเตือนรัฐ เพื่อเตรียมการแก้ไข แต่ไม่คืบ หวั่นกระทบหนักส่งผลขาดแคลนอาหารสัตว์ เหตุสมาชิกหลายรายแบกรับต้นทุนไม่ไหวทยอยลดกำลังการผลิตลง  นายพรศิลป์ พัชรินทร์ตนะกุล นายกสมาคมผู้ผลิตอาหารสัตว์ไทย กล่าวถึง สถานการณ์ราคาวัตถุดิบอาหารสัตว์ซึ่งกำลังพุ่งสูงขึ้นอีก ในขณะที่อาหารสัตว์และสินค้าหลายรายการถูกตรึงราคา ราคาข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ณ วันนี้อยู่ที่ 11 บาท/กิโลกรัม และมีแนวโน้มสูงขึ้นต่อเนื่อง คาดว่าจะสูงไปจนถึงเดือนเมษายน 2565 ซึ่งจะมีผลผลิตข้าวโพดหลังนาออกสู่ตลาด หากปล่อยให้เป็นเช่นนี้ ราคาข้าวโพดจะสูงถึง 12 บาทในเร็วๆนี้ ในขณะที่ข้าวสาลีก็มีราคาทะยานพุ่งสูงถึง 12 บาท/กิโลกรัม จาก 8.91 บาท/กิโลกรัม เป็นผลจากการเกิดสงครามในรัสเซีย กากถั่วเหลืองนำเข้าราคาขยับตัวสูงแตะ 20 บาท/กิโลกรัม จาก 16.51 บาท/กิโลกรัม ส่วนกากถั่วเหลืองที่ซื้อจากโรงสกัดน้ำมันในประเทศอยู่ที่ 21 บาท/กิโลกรัม นอกจากนี้วัตถุดิบตัวอื่นไม่ว่าจะเป็น มันสำปะหลัง ข้าวสาลี แป้งสาลี ข้าวบาร์เลย์ DDGS หรือ น้ำมันปาลม์ ซึ่งเป็นส่วนประกอบในวัตถุดิบผลิตอาหารสัตว์ ก็พร้อมใจกันปรับราคาสูงขึ้นอย่างมาก แม้แต่ถ่านหินซึ่งใช้เป็นเชื้อเพลิงในการผลิตอาหารสัตว์ก็ปรับราคาสูงขึ้นเป็น 2 เท่า ปัจจัยที่ส่งผลต่อราคาวัตถุดิบอาหารสัตว์ประกอบด้วยกัน 2 ส่วน ได้แก่ 1.สถานการณ์ราคาวัตถุดิบในตลาดโลก รวมถึงค่าบริหารและขนส่ง ซึ่งเป็นปัจจัยที่ไม่สามารถควบคุมได้   2. นโยบายภาครัฐที่ต้องการดูแลราคาพืชอาหารสัตว์ในประเทศ โดยมีการใช้มาตรการที่บิดเบือนกลไกตลาด อาทิ มาตรการควบคุมการนำเข้าข้าวสาลีโดยจะต้องรับซื้อข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ภายในประเทศ 3 ส่วนก่อนนำเข้าข้าวสาลี 1 ส่วน การจำกัดช่วงเวลานำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์จากประเทศเพื่อนบ้าน รวมถึงมาตรการด้านภาษี อาทิ ภาษีนำเข้ากากถั่วเหลือง 2% ซึ่งมาตรการเหล่านี้ไม่มีความจำเป็นแล้ว เพราะมาตรการประกันรายได้เกษตรกรช่วยดูแลเกษตรกรได้อย่างมีประสิทธิภาพแล้ว “สมาคมฯได้นำเสนอข้อมูลแนวโน้มต้นทุนวัตถุดิบอาหารสัตว์ปรับตัวสูงขึ้น ให้กระทรวงพาณิชย์รับทราบแล้ว พร้อมทั้งเสนอแนวทางแก้ไขที่กระทรวงทำได้ เช่น การยกเลิกมาตรการในหลายด้าน อาทิ ขอให้พิจารณายกเลิกภาษีนำเข้ากากถั่วเหลือง 2%, มาตรการควบคุมการนำเข้าข้าวสาลี 3 : 1 ส่วน และเปิดให้นำเข้าข้าวโพดภายใต้กรอบ WTO, AFTA ยกเลิกโควต้าภาษีและค่าธรรมเนียมให้สามารถนำเข้ามาได้ในปริมาณขาดแคลน ในปี 2565 เป็นการชั่วคราว แต่ไม่มีความคืบหน้าใด” นายพรศิลป์กล่าว ทั้งนี้ เมื่อปี 2552  ราคากากถั่วเหลืองและข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ รวมถึงวัตถุดิบตัวอื่นๆ ไม่สูงเท่าวันนี้ แต่รัฐบาลในขณะนั้นได้พิจารณาปรับลดอัตราภาษีนำเข้ากากถั่วเหลืองจาก 4% เหลือ 2% ซึ่งช่วยบรรเทาต้นทุนได้ส่วนหนึ่ง ดังนั้น ในวันที่ราคาวัตถุดิบสูงมากเช่นขณะนี้  สมาคมฯ จึงขอวอนรัฐพิจารณามาตรการดังกล่าวโดยเร่งด่วน เพื่อบรรเทาภาระต้นทุนของผู้ผลิตอาหารสัตว์ เพราะมีสมาชิกหลายรายทนแบกรับต้นทุนต่อไม่ไหว และบางรายมีการปรับลดกำลังการผลิตลงแล้วเพื่อลดภาวะขายขาดทุน สถานการณ์นี้ตอกย้ำว่า ไม่มีใครอยู่รอดได้หากถูกตรึงราคาขายปลายทาง แต่ปล่อยให้ราคาวัตถุดิบต้นทางขึ้นโดยไม่มีการกำกับดูแล และหากไม่มีทางออกในเร็ววันนี้ ไทยอาจจะพบกับวิกฤตขาดแคลนอาหารสัตว์ก็เป็นได้ ที่มา : มติชน

วัตถุดิบอาหารสัตว์พุ่งต่อเนื่อง แนะรัฐเร่งแก้ไขก่อนเกิดวิกฤตขาดแคลนอาหารสัตว์ Read More »

เว็บไซต์นี้มีการจัดเก็บคุกกี้เพื่อมอบประสบการณ์การใช้งานเว็บไซต์ให้แก่ท่านได้ดียิ่งขึ้น รวมถึงทำให้สามารถมอบข้อเสนอ กิจกรรมส่งเสริมการขาย เลือกเนื้อหาให้เหมาะสมแก่ท่านอย่างเป็นส่วนตัวได้ การเก็บและใช้งานคุกกี้สามารถศึกษาได้ที่นโยบายการใช้คุกกี้นี้ การใช้งานเว็บไซต์นี้จะมีการจัดเก็บคุกกี้ประเภทต่าง ๆ ซึ่งท่านต้องยอมรับและยินยอมให้บริษัทฯ จัดเก็บ. (เรียนรู้เพิ่มเติม)