Farm Talk คุยเฟื้องเรื่องฟาร์ม EP.17 ทิศทางธุรกิจอาหารสัตว์บกซีพีเอฟสู่ลูกค้าปี 2564
Farm Talk คุยเฟื้องเรื่องฟาร์ม EP.17 ทิศทางธุรกิจอาหารสัตว์บกซีพีเอฟสู่ลูกค้าปี 2564 Read More »
ตอบคำถาม โรคปากและเท้าเปื่อย 1 ทำวัคซีนแล้ว แต่ทำไมวัวยังเป็นโรคปากเท้าเปื่อยอีก ความล้มเหลวในการทำวัคซีนเกิดได้จาก 3 ปัจจัย คือ ตัวสัตว์ วัคซีน และผู้ฉีดวัคซีน ตัวสัตว์ : อาจเกิดจากขณะทำการฉีดสัตว์ไม่พร้อมต่อการสร้างภูมิคุ้มกัน เช่น สัตว์เครียดจากความร้อน หรือสัตว์ป่วย หรืออาจเกิดจากสัตว์ได้รับเชื้อขณะที่ภูมิคุ้มกันยังไม่เพิ่มขึ้นอยู่ในระดับป้องกันโรค หรือภูมิจากวัคซีนที่ฉีดกำลังหมดลง วัคซีน : อาจเกิดจากการเก็บรักษา หรือการขนส่งที่ไม่ดี หรือวัคซีนที่ฉีดนั้นมีเชื้อไม่ตรงกับสายพันธุ์ที่กำลังระบาด ผู้ฉีดวัคซีน : ผู้ฉีดวัคซีนอาจฉีดไม่ถูกต้อง หรือฉีดไม่ครบโดส 2 มีวัวฟาร์มข้างๆ เป็นโรคปากเท้าเปื่อยแล้วจะทำวัคซีนดีไหม เมื่อเกิดการระบาดในพื้นที่ ให้ทำวัคซีนไทป์เดียวที่กำลังระบาด หากเพิ่งทำการฉีดวัคซีนไทป์รวมไป ให้ฉีดวัคซีนไทป์เดียวตามภายใน 2 สัปดาห์ ทั้งนี้ต้องไม่ลืมว่า วัคซีนอาจป้องกันให้สัตว์ไม่แสดงอาการของโรคหรือแสดงอาการไม่รุนแรง แต่สัตว์ตัวนั้นๆอาจมีการติดเชื้อภายในร่างกาย 3 วัวเป็นปากเท้าเปื่อยแล้ว แยกรีดแล้วนมตัวอื่นยังส่งนมได้ไหม ไม่ได้ เนื่องจากในฟาร์มที่มีวัวเป็นปากเท้าเปื่อย จะมีวัวส่วนหนึ่งที่มีเชื้อปากเท้าเปื่อย แต่ยังไม่แสดงอาการป่วย วัวเหล่านั้นสามารถ แพร่เชื้อออกจากร่างกาย และกระจายไปสู่ฟาร์มอื่น ทำให้เกิดการระบาดเป็นบริเวณกว้าง 4 ควรเลือกฉีดวัคซีนไทป์รวม หรือไทป์เดียว ขึ้นกับจุดประสงค์ของการทำวัคซีนคือ “วัคซีนไทป์เดียว” ใช้สำหรับการควบคุมการระบาดของโรค ในขณะที่ วัคซีนไทป์รวมใช้สำหรับการป้องกันโรค กรณีที่มีการแพร่ระบาดของโรค ควรทำวัคซีนตามคำแนะนำของสำนักควบคุม ป้องกัน และบำบัดโรคสัตว์ คือทำวัคซีนไทป์เดียว และตามด้วยวัคซีนไทป์รวม ใน 2 สัปดาห์ถัดมา เพื่อให้วัวมีภูมิคุ้มกันต่อโรคปากเท้าเปื่อย กรณีที่ทำวัคซีนตามโปรแกรมของฟาร์ม ก็ควรใช้ วัคซีนไทป์รวม เพื่อให้โคมีภูมิคุ้มกันต่อเชื้อทุกสายพันธุ์ โดยไม่ต้องใช้วัคซีนไทป์เดียว 5 ทำไม่เวลาเป็นปากเท้าเปื่อยถึงไม่เป็นทุกตัว ทั้งนี้ขึ้นกับภูมิคุ้มกันของตัวโคแต่ละตัวในขณะที่ได้รับเชื้อ โคในฝูงเดียวกันอาจมีการเพิ่มขึ้น คงระดับ หรือลดลงของภูมิคุ้มกันได้มากน้อย และช้าเร็วแตกต่างกัน 6 การโรยปูนขาวช่วยอะไร ในพื้นที่ที่เป็นปากและเท้าเปื่อย ปูนขาว(CaO) มีจุดเด่นคือเป็นสารฆ่าเชื้อราคาถูกและ เมื่อโดนความชื้นจะเปลี่ยนสภาพเป็นด่างซึ่งสามารถฆ่าเชื้อได้ 7 หากที่ฟาร์มเกิดโรคปากและเท้าเปื่อยขึ้นแล้วและหายจากโรคแล้ว ยังต้องทำวัคซีนอีกไหม ควรทำ เนื่องจากภูมิคุ้มกันไม่ป้องกันข้าม serotype แม้สัตว์จะมีภูมิภายหลังการเกิดโรค แต่สัตว์อาจได้รับเชื้อ serotype อื่นได้อีก 8 ฉีดใต้ผิวหนัง หรือฉีดเข้ากล้ามแตกต่างกันอย่างไร การฉีดเข้าใต้ผิวหนังสามารถกระตุ้นภูมิคุ้มกันได้ดีที่สุด 9 วัคซีนปากและเท้าเปื่อยทำแล้วแท้งลูกไหม ผลข้างเคียงของโรค ปากและเท้าเปื่อยไม่ได้ทำให้เกิดการแท้ง การแท้งมักเกิดจากความเครียดเมื่อสัตว์ถูกจับบังคับ แต่วัคซีนอาจทำให้เกิดการแพ้ได้ ฉะนั้นภายหลังการฉีดวัคซีนควรเฝ้าดูอาการของโค ใน 6 ชั่วโมงภายหลังการฉีด
CPF โรงงานผลิตอาหารสัตว์ท่าเรือ แจกหน้ากากอนามัยให้ผู้สูงวัยชาวอยุธยา ป้องกันโควิด-19 คุณสะแวง เทียมเงิน ผู้บริหารงานด้าน CSR นำทีมจิตอาสา CPF โรงงานผลิตอาหารสัตว์ท่าเรือ ลงพื้นที่เยี่ยมผู้สูงวัย ในโครงการกองทุน ซีพีเอฟ คืนสุข ผู้สูงวัย มอบเครื่องอุปโภคบริโภค เจลแอลกอฮอล์ หน้ากากอนามัยซีพี ร่วมป้องกันโควิด-19 พร้อมปฏิทินปีใหม่ 2564 และเงินช่วยเหลือในเบื้องต้น ทั้งนี้ ผู้สูงวัยได้กล่าวขอบคุณ CPF ที่ให้ความช่วยเหลือมาอย่างต่อเนื่อง ขอให้กิจการรุ่งเรือง ผู้บริหารและพนักงานสุขภาพแข็งแรง สำหรับโครงการกองทุนซีพีเอฟ คืนสุข ผู้สูงวัย เป็นการให้ความช่วยเหลือผู้สูงอายุที่อาศัยอยู่รอบโรงงานและฟาร์มของซีพีเอฟ ที่ไม่มีลูกหลานดูแล ไม่มีรายได้เลี้ยงตัวเอง โดยผู้สูงอายุจะได้รับมอบเงินช่วยเหลือเดือนละ 2,000 บาท นับตั้งแต่ปี 2554- ปัจจุบัน มีจำนวนผู้สูงอายุที่ได้รับความช่วยเหลือจากโครงการฯ รวม 833 ราย./
CPF โรงงานผลิตอาหารสัตว์ท่าเรือ แจกหน้ากากอนามัยให้ผู้สูงวัยชาวอยุธยา ป้องกันโควิด-19 Read More »
บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ นำผลิตภัณฑ์อาหารปลอดภัย มอบให้มูลนิธิเครือข่ายส่งเสริมคุณภาพชีวิตแรงงาน (Labour Protection Network : LPN) ภายใต้โครงการ “CPF ส่งอาหารจากใจ ร่วมต้านภัยโควิด-19” เพื่อนำไปช่วยบรรเทาความเดือดร้อนของพี่น้องแรงงานต่างด้าวและประชาชนที่ต้องกักตัวในหอพักที่ตลาดกลางกุ้ง ต.มหาชัย อ.เมืองฯ จ.สมุทรสาคร ได้บริโภคอาหารปลอดภัยอย่างเพียงพอ ร่วมสนับสนุนจังหวัดสมุทรสาครคืนสู่สภาวะปกติโดยเร็ว พิธีมอบผลิตภัณฑ์อาหารและไข่ไก่ในวันนี้ จัดขึ้นที่สำนักงานมูลนิธิ LPN ต.คูบางหลวง อ.ลาดหลุมแก้ว จ.ปทุมธานี ประกอบด้วยผลิตภัณฑ์อาหาร 30,800 แพ็ค และไข่ไก่สด 10,000 ฟอง โดยมีนายสมพงค์ สระแก้ว ผู้อำนวยการและผู้ก่อตั้งมูลนิธิ LPN เป็นผู้รับมอบจากนายวุฒิชัย สิทธิปรีดานันท์ รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส ด้านความรับผิดชอบต่อสังคมและการพัฒนาอย่างยั่งยืน และนายศรกฤษณ์ วัตตศิริ รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส ด้านบริหารงานทรัพยากรบุคคล ซีพีเอฟ นายสมพงค์กล่าวว่า อาหารที่ได้รับการสนับสนุนจากซีพีเอฟ เป็นอีกหนึ่งความช่วยเหลือที่สำคัญในการบรรเทาความเดือดร้อนให้กับแรงงานที่ต้องกักตัวและประชาชนที่อยู่ในบริเวณตลาดกลางกุ้ง มหาชัย รวมทั้งผู้ติดเชื้อที่ไม่แสดงอาการประมาณ 4,000 คน ซึ่งได้รับความเดือดร้อนในการดำเนินชีวิตประจำวันจากการหยุดงานเป็นระยะยาว และไม่สามารถออกจากพื้นที่ควบคุมได้จนกว่าสถานการณ์คลี่คลาย ได้เข้าถึงอาหารปลอดภัยอย่างเพียงพอ ในช่วงเวลาที่พื้นที่ดังกล่าวถูกจัดให้เป็นพื้นที่สีแดงที่ต้องควบคุมและเฝ้าระวังการระบาดของไวรัสโควิด-19 อย่างเคร่งครัด ตามมาตรการของจังหวัดสมุทรสาคร “การร่วมสนับสนุนของซีพีเอฟครั้งนี้ แสดงถึงความเอื้ออาทรของคนไทยที่มีต่อแรงงานต่างด้าวซึ่งเป็นกลุ่มเปราะบางของสังคมได้รับการดูแลอย่างทั่วถึง โดยไม่ถูกเลือกปฏิบัติตามหลักมนุษยธรรม นอกจากจะส่งเสริมภาพลักษณ์ที่ดีของประเทศแล้วยังตอกย้ำการไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลังทุกครั้งที่เกิดวิกฤต” นายสมพงค์กล่าว นายประสิทธิ์ บุญดวงประเสริฐ ประธานคณะผู้บริหาร ซีพีเอฟ กล่าวว่า ซีพีเอฟตระหนักในการทำหน้าที่พลเมืองดีของสังคม (Good Corporate Citizen) และในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งของชุมชนในจังหวัดสมุทรสาคร ซึ่งมีการจ้างแรงงานต่างด้าวเพื่อสนับสนุนการผลิตอาหารปลอดภัยของบริษัทฯ ในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดในจังหวัดขยายวงกว้างขึ้น ซีพีเอฟถือเป็นหนึ่งในความรับผิดชอบต่อสังคมในการมีส่วนร่วม เพื่อช่วยบรรเทาความเดือดร้อนพี่น้องแรงงานต่างด้าวที่ถูกกักตัวสามารถเข้าถึงอาหารปลอดภัยได้อย่างเพียงพอ ก่อนหน้านี้ ซีพีเอฟได้ส่งมอบอาหารปลอดภัยและมีคุณค่าทางโภชนาการ จำนวน 55,000 แพก เพื่อสนับสนุนการทำงานและเป็นกำลังใจให้แพทย์ พยาบาล และผู้ป่วย ที่ปฏิบัติหน้าที่ดูแลผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่โรงพยาบาลสมุทรสาคร เพื่อสนับสนุนการปฏิบัติงานของบุคลากรทางการแพทย์ในการทำหน้าที่รักษาและป้องกันการระบาด “ซีพีเอฟใช้ประสบการณ์และความเชี่ยวชาญของการเป็นผู้ผลิตอาหารชั้นนำ ส่งมอบอาหารคุณภาพดีให้แก่คนไทย และพี่น้องแรงงานทุกคนทั้งในยามปกติและทุกสถานการณ์วิกฤต ครั้งนี้เป็นอีกครั้งหนึ่งที่เราเชื่อว่าความรับผิดชอบต่อสังคมและการร่วมแรงร่วมใจกันของคนไทยจะช่วยให้ประเทศสามารถควบคุมการระบาดของโรคและผ่านวิกฤตได้อย่างรวดเร็ว” นายประสิทธิ์กล่าว ตั้งแต่เดือนมีนาคม 2563 เป็นต้นมา ซีพีเอฟในฐานะภาคเอกชนรายแรกๆ ที่นำความเชี่ยวชาญในการผลิตอาหารคุณภาพ ปลอดภัย มาช่วยสนับสนุนการทำงานภาครัฐในการเฝ้าระวังและควบคุมการแพร่ระบาดไวรัสโคโรน่า 2019 ผ่านการดำเนินโครงการ “CPF ส่งอาหารจากใจ ร่วมต้านภัย COVID-19” ส่งมอบอาหารพร้อมรับประทานให้แก่บุคลากรทางการแพทย์ในโรงพยาบาลของรัฐ 200 แห่งทั่วประเทศ และขยายต่อส่งมอบอาหารให้แก่ครอบครัวของแพทย์และพยาบาลที่เป็นแนวหน้าเฝ้าระวังการระบาดโควิดอีก 20,000 ครอบครัว รวมทั้งสนับสนุนอาหารให้แก่ผู้ที่เดินทางกลับจากต่างประเทศและต้องกักตัวประมาณ 20,000 ราย นอกจากนี้ยังร่วมกับกองทัพภาคที่ 1 ส่งมอบอาหารให้ประชาชนชุมชนคลองเตย กว่า 8,499 ครอบครัว และร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์จัดรถ CPF Food Truck นำอาหารสำเร็จรูปอุ่นร้อนแจกจ่ายให้ประชาชนในชุมชนต่างๆ ใน 6 เขตพื้นที่ในกรุงเทพมหานคร และส่งมอบอาหารสำเร็จรูปพร้อมรับประทานช่วยเสริมทัพให้ทีมแพทย์-พยาบาลของ 5 โรงพยาบาลในจังหวัดตากที่ทำหน้าที่เฝ้าระวังการแพร่ระบาดโรคโควิด-19 จากประเทศเพื่อนบ้าน ซีพีเอฟได้ปฏิบัติตามมาตรการป้องกันโควิด-19 ด้วยความเคร่งครัด ตลอดจนเข้มงวดกับมาตรฐานคุณภาพและความปลอดภัยของการผลิตอาหารในทุกขั้นตอน เพื่อให้พนักงานทุกเชื้อชาติได้ทำงานในสถานที่ปลอดภัย เพื่อให้ประชาชนในประเทศไทยได้บริโภคอาหารคุณภาพ มีโภชนาการอย่างเพียงพอ ไม่ขาดแคลน ที่มา : www.cp-enews.com
CPF ร่วมกับมูลนิธิ LPN ส่งอาหารจากใจ ช่วยแรงงานต่างด้าวในสมุทรสาคร ต้านวิกฤต COVID-19 Read More »
ซีพีเอฟใช้ Chatbot พัฒนาโครงการเลี้ยงไก่ไข่เพื่ออาหารกลางวันนักเรียน เร่งสปีดการสื่อสารกับชุมชนทั่วประเทศ และลดการแพร่ระบาดโควิด-19 ไข่ไก่เป็นแหล่งโปรตีนที่มีคุณภาพสูงและมีประสิทธิภาพในการดูดซึมสูงกว่าอาหารชนิดอื่น ทั้งช่วยเสริมสร้างการเจริญเติบโตและกระตุ้นการทำงานของสมอง ซึ่งตามข้อมูลของกระทรวงสาธารณสุข เด็กวัยเรียนควรกินไข่ทุกวัน แต่จากการสำรวจพฤติกรรมการบริโภคอาหารของคนไทยปี 2560 โดยสำนักงานสถิติแห่งชาติพบว่า กลุ่มวัยเรียนบริโภคไข่ทุกวันเพียงร้อยละ 23.7 เท่านั้น ในฐานะที่บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ มีความเชี่ยวชาญด้านการเลี้ยงไก่ไข่ จึงใช้จุดแข็งมาสร้างประโยชน์ให้สังคมไทย โดยเฉพาะในพื้นที่ชนบทห่างไกล ด้วยการทำ “โครงการเลี้ยงไก่ไข่เพื่ออาหารกลางวันนักเรียน” ผ่านมูลนิธิเจริญโภคภัณฑ์พัฒนาชีวิตชนบท ทำให้หน่วยงานและองค์กรอื่น ๆ เห็นความสำคัญของโครงการ และเข้าร่วมสนับสนุน อาทิ หอการค้าญี่ปุ่น- กรุงเทพฯ (Japanese Chamber of Commerce, Bangkok) หรือ JCC โดยโครงการเลี้ยงไก่ไข่เพื่ออาหารกลางวันนักเรียนเป็นโครงการที่ซีพีเอฟดำเนินการมากว่า 30 ปี และได้รับการสันบสนุนจาก JCC เป็นปีที่ 21 “สมคิด วรรณลุกขี” รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส ธุรกิจไก่ไข่ บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า มูลนิธิเจริญโภคภัณฑ์พัฒนาชีวิตชนบทได้เข้าสนับสนุนด้านการเลี้ยงไก่ไข่ในโรงเรียนด้วยการมอบพันธุ์ไก่ อาหารสัตว์ และสร้างเล้าไก่ ที่สำคัญมีก่ารถ่ายทอดองค์ความรู้ให้แก่คุณครูและนักเรียน ทั้งให้การสนับสนุนด้านเทคโนโลยีการเลี้ยง วิธีการจัดการฟาร์ม และการป้องกันโรค เพื่อให้ฏรงเรียนสามารถสานต่อด้วยตนเองได้ “แม้ว่าการแพร่ระบาดของโควิด-19 ได้ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ แต่โรงเรียนที่ได้รับการสนับสนุนให้มีการเลี้ยงไก่ไข่ ยังสามารถเป็นแหล่งอาหารที่มีประโยนช์เพื่อช่วยเหลือนักเรียนและชุมชน” ปัจจุบันเป็นยุคที่เทคโนโลยีมีบทบาทสำคัญในทุกด้าน เราจึงนำเทคโนโลยีมาต่อยอดโครงการนี้ให้พัฒนาอย่างรวดเร็ว ทั้งยังใช้เทคโนโลยีมาช่วยรักษาระยะห่างทางสัมคมเพื่อลดการแพร่ระบาดของโควิด-19 อีกด้วย โดยการทำระบบ Chatbot เพื่อการรายงานข้อมูลของโรงเรียนทั่วประเทศ ผ่านแอปพลิเคชั่นไลน์ (Line) เช่น จำนวนไก่ อาหารสัตว์ ผลผลิตไข่ไก่ ไก่ปลด รายงานการเลี้ยง ต้นทุนและรายได้จากการจำหน่ายผลผลิตไข่ไก่ เป็นต้น ที่ผ่านมามูลนิธิฯได้ไปทำโครงการไว้ในโรงเรียนทั้งหมด 855 โรงเรียน เด็กและเยาวชนเข้าถึงอาหารโปรตีนคุณภาพมากกว่า 150,000 คน โดยมีแผนขยายประมาณ 20-25 โรงเรียนในทุก ๆ ปี ส่วนของ JCC ได้เข้ามาร่วมสนับสนุนโรงเรียนไปแล้ว 132 โรงเรียน ล่าสุดพิธีส่งมอบโครงการเลี้ยงไก่ไข่เพื่ออาหารกลางวันนักเรียน ให้แก่ โรงเรียนบ้านทุ่งมน อ.บ้านไผ่ จ.ขอนแก่น และอีก 4 โรงเรียน คือ โรงเรียนบ้านต่างแดน โรงเรียนโนนปอแดงวิทยา โรงเรียนโนนอุดมศึกษา อำเภอสุวรรณคูหา จังหวัดหนองบัวลำภู และโรงเรียนส้งเปือย อำเภอวานรนิวาส จังหวัดสกลนคร ที่มา : ประชาชาติธุรกิจ
‘ซีพีเอฟ’ ส่งเสริมโรงเรียนใช้ Chatbot พัฒนาเลี้ยงไก่ไข่ Read More »
ผู้ว่าฯ ลำพูน ตรวจเยี่ยม โรงงานผลิตอาหารสัตว์บกลำพูน มั่นใจมาตรการป้องกันโควิด-19 นายวรยุทธ เนาวรัตน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดลำพูน พร้อมด้วยหัวหน้าส่วนราชการต่างๆ ประกอบด้วยแรงงาน สวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน ประกันสังคม จัดหางาน ขนส่ง อุตสาหกรรม และสาธารณสุข จ.ลำพูน เยี่ยมชม CPF โรงงานผลิตอาหารสัตว์บกลำพูน ตามประกาศคณะกรรมการโรคติดต่อ จ.ลำพูน ในสถานการณ์โควิด-19 โดยมี คุณฤทธิชัย ภูมิอมร รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส CPF และพนักงาน ให้การต้อนรับผู้ว่าฯ ลำพูน กล่าวชื่นชมมาตรการป้องกันโควิด-19 ของ CPF ที่ได้มาตรฐานและปฏิบัติอย่างเข้มงวดต่อเนื่อง ตั้งแต่เดือน มี.ค. จนถึงปัจจุบัน ทั้งการตรวจคัดกรองก่อนเข้าโรงงาน โดยใช้ระบบ ivisit ในการกรอกข้อมูล การจัดเตรียมสินค้าอาหารสัตว์ให้เพียงพอต่อการจำหน่าย เพื่อลดจำนวนคนที่อยู่ในโรงงาน การลดการสัมผัสจ่ายเงินร้านค้าในโรงอาหารด้วยแอปพลิเคชัน TrueMoney Wallet และพร้อมเพย์ รวมทั้งไม่ใช้อุปกรณ์ส่วนกลางร่วมกัน ในโรงอาหาร เป็นต้น โดยสามารถติดตามตรวจสอบและควบคุมกระบวนการได้ทั้งหมด มาตรการที่ใช้จึงมีประสิทธิภาพ./
ผู้ว่าฯ ลำพูน ตรวจเยี่ยม โรงงานผลิตอาหารสัตว์บกลำพูน มั่นใจมาตรการป้องกันโควิด-19 Read More »
“ไข่ไก่” อาหารยอดฮิตของผู้บริโภค โปรตีนคุณภาพที่หาซื้อ ได้ง่าย ราคาไม่แพง คุณค่าทางโภชนาการสูง นำมาประกอบอาหารได้หลากหลายเมนู และยังเป็นอาหารที่มีประโยชน์ต่อทุกเพศและทุกวัย ปัจจุบัน บริษัทผู้ผลิตไข่ไก่สด ให้ความสำคัญกับผลิตภัณฑ์ไข่ที่สะอาดและปลอดภัย และยังต้องเป็นผลิตภัณฑ์ที่ไม่มีการใช้ยาปฏิชีวนะสามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ตั้งแต่ต้นทางจนถึงปลายทาง บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ มุ่งเน้นมาตรฐานการผลิตและความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์อาหาร เพื่อให้ ผู้บริโภคมั่นใจในความสะอาดและถูกสุขอนามัย ผลิตภัณฑ์ไข่ไก่ซีพี ผ่านกระบวนการผลิตที่ได้มาตรฐานในทุกขั้นตอน แม่ไก่ไข่ได้รับการ คัดเลือกพันธุ์ที่ดี เลี้ยงในฟาร์มระบบปิด เลี้ยงตามหลักสวัสดิภาพสัตว์ ไม่ใช้ยาปฏิชีวนะ นอกจากนี้ กระบวนการผลิตไข่ไก่ เป็นระบบอัตโนมัติ และนำเทคโนโลยีจากญี่ปุ่นมาใช้ เช่น การล้างไข่ไก่ การคัดไข่ไก่ การบรรจุ กระบวนการล้างไข่ไก่ในห้องล้างไข่ เน้นเรื่องความสะอาด ปลอดภัย ตั้งแต่การรับไข่เข้ามาในห้องล้างไข่ นำไข่ไปผ่านเครื่องล้างที่มีแปรงขัดผิวเปลือกไข่ เพื่อทำความสะอาดไข่ที่เปื้อนมูลและฝุ่น ผ่านขั้นตอนการฉีดล้างด้วยสเปรย์น้ำอีกครั้งเพื่อทำความสะอาด ก่อนนำเข้าเครื่องเป่าแห้ง จากนั้นนำไข่มาคัดแยกไข่ที่ยังล้างไม่สะอาดออก เช่น ยังเหลือมูลติดอยู่ รวมทั้งไข่ที่ผิดรูป ไม่ได้มาตรฐาน หรือสีเปลือกไข่ซีดกว่าปกติ ไข่ที่ผ่านการคัดแยกแล้วนำไปผ่านเครื่องทดสอบรอยร้าวว่ามีรอยร้าวหรือไม่ ถ้าพบว่ามีรอยร้าวก็จะคัดออก กระบวนการต่อไป คือ นำไข่ที่ผ่านเครื่องทดสอบรอยร้าวแล้ว ผ่านหลอดยูวี ที่สามารถฆ่าเชื้อแบคทีเรีย เชื้อซาโมเนลลา นำมาชั่งน้ำหนักตามเบอร์ไข่ เพื่อที่จะคัดแยกตามเบอร์ต่างๆ ตามประกาศมาตรฐานสินค้าเกษตรไข่ไก่ ของกรมปศุสัตว์ เมื่อนำผลิตภัณฑ์ไข่ไก่ไปชั่งน้ำหนักแล้ว จะผ่านเครื่องตรวจสอบความผิดปกติ หรือ Abnormal Eggs Detector จะช่วยคัดฟองไข่ มีจุดเลือด หรือจุดเนื้อ เพื่อคัดออก และตรวจสอบไปถึงว่าในไข่แต่ละฟอง มีทั้งไข่ขาวและไข่แดง เพื่อคัดไข่ที่เน่าเสียออก ผ่านเครื่องพิมพ์ตัวอักษร บนฟองไข่ พิมพ์เลขล็อตผลิต เพื่อตรวจสอบย้อนกลับ จากนั้นเข้าสู่กระบวนการบรรจุบนแพ็กแต่ละขนาดเตรียมจำหน่ายสู่ผู้บริโภค ซึ่งบนสลากสินค้ามีข้อมูลอย่างครบถ้วน ที่สำคัญมีวันผลิตและวันควรบริโภคก่อนอย่างชัดเจน นอกจากความเข้มงวดในกระบวนการล้างไข่ไก่แล้ว พนักงานที่จะเข้าในไลน์การผลิต ต้องปฏิบัติตามสุขลักษณะเรื่องความสะอาดและความปลอดภัย โดยสวมรองเท้าบู๊ท ล้างมือที่อ่างล้างมือ เช็ดมือให้แห้ง สวมหมวก และผ้าปิดปาก สวมเสื้อคลุม ถุงมือ จุ่มรองเท้าบู๊ทในอ่างน้ำยาฆ่าเชื้อ รวมทั้งฉีดสเปรย์แอลกอฮอล์บริเวณมือทุกครั้ง ในห้องผลิตและจัดเก็บสินค้า มีการควบคุมอุณหภูมิที่ 20-25 องศาเซลเซียสตลอดเวลา เพื่อรักษาคุณภาพของผลิตภัณฑ์ ผลิตภัณฑ์ไข่ไก่ซีพีที่ผ่านกระบวนการผลิต จะถูกส่งมาที่ห้องจัดเก็บสินค้า ซึ่งมีการควบคุมอุณหภูมิที่ 20 -25 องศาเซลเซียส เพื่อเก็บผลิตภัณฑ์ไข่ที่เป็นสินค้าเพื่อจำหน่ายในประเทศ และควบคุมอุณหภูมิที่ 2 -10 องศาเซลเซียส สำหรับผลิตภัณฑ์ไข่ไก่ที่เป็นสินค้าส่งออกต่างประเทศ ผลิตภัณฑ์ไข่ไก่สดแบรนด์ซีพี ยังเป็นผลิตภัณฑ์อาหารที่ผ่านกระบวนการผลิตที่มีมาตรฐานระดับโลก อาทิ GMP HACCP ISO ไม่มียาปฏิชีวนะปนเปื้อน ผู้บริโภคจึงมั่นใจได้ในความสะอาดและปลอดภัย ที่มา : www.cp-enews.com
รอบรู้เรื่องอาหารปลอดภัย: ไข่ไก่ปลอดภัย “ล้าง คัด บรรจุ” ด้วยระบบมาตรฐาน Read More »
รวมพลังต้านภัย ASF ตอนที่ 2 : แนวทางป้องกันและควบคุมโรค ข้อมูลในเชิงวิชาการพบว่าโรคระบาด ASF ที่พบได้ทุกประเทศทั่วโลก มักเกิดกับผู้เลี้ยงหมูรายย่อยหรือผู้เลี้ยงหมูที่ไม่มีระบบการป้องกันโรคทีดีก่อนเสมอ ดังได้กล่าวแล้วในบทความที่ 1 ดังนั้นหากมีคำถามว่าในฐานะผู้เกี่ยวข้องกับธุรกิจหมูของประเทศ พวกเราจะช่วยผู้เลี้ยงหมูรายย่อยให้ปลอดภัยได้อย่างไร เพราะเมื่อมีผู้เลี้ยงหมูรายย่อยติดโรค ความเสี่ยงก็จะเกิดกับผู้เลี้ยงหมูรายใหญ่อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และในเมื่อเราท่านทราบดีผู้เลี้ยงหมูรายย่อยเหล่านั้นล้วนขาดความพร้อมทั้งด้าน การเข้าถึงข้อมูล งบประมาณ และองค์ประกอบพื้นฐานด้านการป้องกันโรค จากคำถามที่ท้าทายแบบนี้ ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีทางออก เพียงแต่ทางออกนั้นต้องอาศัยผู้เลี้ยงหมูมีความพร้อมมากกว่า หรือผู้เกี่ยวข้องในธุรกิจหมู เขาไปให้ความช่วยเหลือตามแนวทางดังนี้ เริ่มต้นจากต้องผู้เกี่ยวข้องกับธุรกิจฟาร์มหมูต้องร่วมกันไปให้องค์ความรู้กับผู้เลี้ยงหมูรายย่อยให้ทำในสิ่งที่ตัวตัวผู้เลี้ยงหมูรายย่อยเองทำได้เป็นเบื้องต้นด้านการป้องกันโรค ในเรื่องต่อไปนี้ ไม่ใช้เศษอาหารจากครัวเรือนเลี้ยงหมู เพราะเศษอาหารเหล่านี้อาจมีเนื้อหมูที่อาจปนเปื้อนเชื้อโรคหรือหากจำเป็นต้องใช้ต้องต้มให้เดือดอย่างน้อย 30 นาที เมื่อผู้เลี้ยงหมูรายย่อยออกไปทำธุระภายนอกฟาร์ม ก่อนเข้ามาเลี้ยงหมูต้องอาบน้ำ เปลี่ยนเสื้อผ้าและรองเท้า ก่อนเสมอ ไม่ให้คนภายนอกเข้าเล้าหมูตนเองโดยเด็ดขาด โดยเฉพาะอย่างยิ่งพ่อค้าซื้อหมู โดยอาจเจรจาตกลงซื้อขายด้วยแอบปิเคชั่นบนมือถือ ไม่ให้รถรับซื้อหมูและคนซื้อหมูเข้ามาถึงในเล้าโดยอาจใช้วิธีการต้อนหมูให้ห่างจากเล้าเพื่อไปขึ้นรถจับหมูโดยเจ้าของเล้าต้องไม่ไปสัมผัสกับรถที่มาซื้อหมู ไม่ซื้อหมูจากพื้นที่มีความเสี่ยงจากโรคระบาดเข้ามาเลี้ยง อีกทั้งไม่ซื้อเนื้อหมูและผลิตภัณฑ์เนื้อหมูจากภายนอกมาบริโภคในฟาร์ม งดการขายมูลหมูจากรถรับซื้อที่ไปรับซื้อมูลจากหลายๆ ฟาร์มในช่วงเวลาการระบาดของโรค ระมัดระวังการไปซื้อหัวอาหาร เช่น รำ และปลายข้าว จากโรงสีที่ทำธุรกิจเลี้ยงหมูในกรณีที่ฟาร์มและโรงสีอยู่ในพื้นที่เดียวกัน เพราะหัวอาหารเหล่านั้นอาจปนเปื้อนเชื้อโรคได้ หรืออาจติดเชื้อต่อเนื่องจากผู้เลี้ยงหมูรายย่อยอื่นที่เข้าไปรับซื้อหัวอาหารจากแหล่งเดียวกัน แจ้งปศุสัตว์ทันทีหากมีหมูตายเฉียบพลันหรือป่วยด้วยอาการไข้สูง ไอ แท้ง ขาหลังไม่มีแรง นอนสุมและท้องเสียเป็นเลือด มีจุดเลือดออกหรือรอยช้ำบริเวณใบหู ท้อง และขาหลัง และห้ามขายหมูป่วยและตายออกออกจากฟาร์มโดยเด็ดขาดหากยังไม่ผ่านการตรวจสอบยืนยันโรค ส่วนผู้เกี่ยวข้องกับธุรกิจหมู ควรให้ความช่วยเหลือผู้เลี้ยงหมูรายย่อยในการป้องกันโรคและควบคุมเพื่อลดการแพร่กระจายโรคในพื้นที่ต่างๆ ได้ดังนี้ ผู้ประกอบการเลี้ยงหมูทุกรายที่มีหมูแสดงอาการที่ต้องสังสัยว่าติดโรค เช่นมีอาการไข้สูง ไอ แท้ง ขาหลังไม่มีแรง นอนสุมและท้องเสียเป็นเลือด มีจุดเลือดออกหรือรอยช้ำบริเวณใบหู ท้อง และขาหลัง หรือมีหมูตายฉัยบพลันแบบไม่ทราบสาเหตุ และตรวจสอบยืนยันพบว่าหมูติดโรค ต้องไม่ขายหมูออกจากฟาร์มเพื่อไปชำแหละโดยเด็ดขาด เพราะหมูที่ใกล้ชิดกับหมูป่วยอาจติดโรคไปแล้ว การขายหมูออกไปก็เท่ากับการแพร่เชื้อโรคไปตามที่ต่างๆ ผ่านทางเนื้อหมูและผลิตภัณฑ์จากเนื้อหมู ท้ายสุดฟาร์มหมูอื่นๆ ก็ตกอยู่ในความเสี่ยงจากการติดโรค โดยเฉพาะผู้เลี้ยงหมูรายย่อย หากเทียบโรคโควิด-19 การขายหมูที่ต้องสงสัยว่าติดโรคออกไป ก็คล้ายกับการปล่อยคนป่วยด้วยโควิด-19 ที่อาจแสดงอาการไม่รุนแรงแต่แพร่เชื้อได้ออกไปปะปนกับคนในสังคม ซึ่งถือว่าเป็นความเสี่ยงที่สูงมาก ปศุสัตว์จังหวัดในแต่ละเขตพื้นที่ ควรติดตามให้ให้ผู้เลี้ยงรายย่อยจนทะเบียนการเลี้ยงสัตว์ในระบบ E-Smart Plus ให้ครบถ้วน เพื่อประโยชน์ในการเข้าถึงและการให้ข้อมูลเพื่อการป้องกันและควบคุมโรค อีกทั้งเป็นประโยชน์ในการติดตามการแพร่ระบาดของโรค นอกจากกนี้ต้องจดทะเบียนผู้ขนส่งสุกรทุกรายร่วมด้วย เพราะเป็นผู้มีส่วนสำคัญในการแพร่กระจายโรค และควรให้ข้อมูลการป้องกันและควบคุมโรคกับบุคลากรผู้ขนส่งหมูเหล่านี้ เช่นกัน ปศุสัตว์ในแต่ละเขตพื้นที่จะมีโปรแกรมสุ่มตรวจโรค ในฟาร์มที่มีความเสี่ยงสูง รวมทั้ง โรงชำแหละหมู จุดจำหน่ายเนื้อหมูและผลิตภัณฑ์เนื้อหมู ร้านจำหน่ายอาหารสัตว์อย่างสม่ำเสมอและควรแจ้งผลการตรวจเพื่อการเฝ้าระวังโรค โดยผู้เกี่ยวข้องทุกภาคส่วนก็ควรให้ความร่วมมือ เพื่อให้ฟาร์มทั่วไปตระหนักว่าหากมีเชื้อโรคเข้ามาในพื้นที่แล้วต้องระวังให้มากขึ้น หากผู้เลี้ยงรายใดทราบว่าถ้าตนไปสัมผัสกับแหล่งที่ให้ผลบวก ก็ต้องเฝ้าระวังก่อนกลับเข้าฟาร์ม ผู้ขายอาหารให้ผู้เลี้ยงหมูรายย่อยหรือโรงงานอาหารสัตว์ควรหามาตรการส่งอาหารให้เกษตรกรในพื้นที่นอกเขตฟาร์ม เพราะการที่ผู้ขนส่งอาหารไปส่งอาหารในหลายๆ ฟาร์ม อาจพลาดขับรถเข้าไปในฟาร์มที่เป็นโรคโดยไม่ทราบ ดังนั้นหากปล่อยให้เขาเหล่านี้ ขับรถเข้ามาในพื้นที่ฟาร์มโดยไม่ผ่านการฆ่าเชื้อที่เหมาะสม รถคันนั้นอาจเป็นพาหะนำเชื้อโรคมาแพร่สู่ฟาร์มได้ ดังนั้นการลงอาหารให้นอกพื้นที่ฟาร์ม ก็จะเป็นการลดการสัมผัสเชื้อโรคอีกช่องทางหนึ่ง ผู้รับซื้อหมูจากผู้เลี้ยงหมูรายย่อยต้องนำรถขนส่งไปล้างฆ่าเชื้อตามจุดที่ปศุสัตว์หรือสมาคมผู้เลี้ยงหมูกำหนดไว้ให้ และรับบัตรยืนยันการล้างฆ่าเชื้อก่อนนำรถไปรับซื้อหมูที่ฟาร์มต่อไป เพื่อให้มั่นใจว่ารถขนส่งคันนี้จะไม่เป็นตัวแพร่เชื้อโรคให้ผู้เลี้ยงรายย่อย และผู้เลี้ยงหมูก็ไม่ควรไปสัมผัสรถคันนี้ อาจทำทางเดินหมูเพื่อต้อนหมูให้ห่างออกมาจากเล้า แล้วให้คนมารับซื้อจับหมูไปแบบเจ้าของเล้าไม่สัมผัสกับคนมารับซื้อหมูและรถขนส่งหมู และทุกครั้งที่ผู้เลี้ยงหมูคิดว่าตัวเองมีความเสี่ยง ให้อาบน้ำ และเปลี่ยนเสื้อผ้าและรองเท้าก่อนเข้าเล้าไปเลี้ยงหมูในเล้าเสมอ ซึ่งปกติดขั้นตอนนี้จะปฏิบัติกันอย่างจริงจังในฟาร์มขนาดใหญ่ แม้กระทั้งการสร้างเล้าขายกลาง เพื่อป้องกันรถขนส่งจากภายนอกที่มีความเสี่ยงเข้าไปถึงฟาร์ม และที่สำคัญคนที่ทำงานในฟาร์มก็ไม่มีโอกาสมาสัมผัสรถที่มีความเสี่ยงจากภายนอก โดยจะนำรถที่สะอาดผ่านการพ่นยาฆ่าเชื้อขนส่งหมูมาที่เล้าขายกลาง และส่งหมูในจุดที่แยกกับที่รถภายนอกที่มารับซื้อหมู ผู้ขายพันธุ์สัตว์ให้กับผู้เลี้ยงรายย่อยต้องมั่นใจว่าฟาร์มตนเองปลอดจากโรค โดยการสุ่มตรวจสุขภาพหมูในฟาร์มอย่างสม่ำเสมอ ช่วงใดที่พบว่าฟาร์มตนเองมีหมูตายผิดปกติ ก็ควรหยุดการขายหมูพันธุ์ชั่วคราวและตรวจสอบให้มั่นใจว่าปลอดจากโรค เพระต้องระลึกเสมอว่าผู้เลี้ยงหมูรายย่อยจะไม่มีเล้ารับสุกรทดแทนที่ฟาร์มใหญ่ๆ มักจะมีกันที่เรียกกว่าเล้ากักโรค เพื่อใช้ตรวจสอบก่อนว่าหมูที่รับมาปลอดโรคก่อนนำเข้าไปรวมฝูง ส่วนผู้เลี้ยงหมูรายย่อยมักไม่มีเล้ากักโรค ดังนั้การทดแทนหมูทุกครั้งก็จะมีความเสี่ยงที่อาจรับโรคใหม่ ๆ เข้าฝูง ดังนั้นผู้ขายหมูพันธุ์ให้ผู้เลี้ยงหมูรายย่อยจึงต้องให้ความช่วยเหลือในส่วนนี้ ผู้ให้บริการรถขนส่งหมูไปยังต่างพื้นที่ หรือขนส่งหมูเพื่อการส่งออก หลังการขนส่งควรนำรถไปล้างฆ่าเชื้อตามจุดบริการของปศุสัตว์ในแต่ละพื้นที่ หรือที่ทางสมาคมผู้เลี้ยงหมูหรือฟาร์มหมูจัดไว้ให้ โดยควรมีใบรับรองการล้างฆ่าเชื้อรถขนส่งก่อนไปรับหมูเที่ยวต่อไป ทั้งนี้ก็เพื่อให้มั่นใจว่ารถขนส่งคันนี้จะไม่เป็นตัวพาเชื้อโรคไปตามฟาร์มต่างๆ ฟาร์มหรือผู้ประกอบการที่ต้องส่งหมูทุกชนิดออกไปในทุกเขตพื้นที่ควรทำตามมาตรการการตรวจสอบของกรมปศุสัตว์อย่างเคร่งครัด และในกรณีที่ฟาร์มต้นทางมีหมูตายผิดสังเกตในช่วง 15 วันก่อนส่งก็ควรระงับการส่งออกหมูชั่วคราวเพื่อการตรวจสอบว่าฟาร์มปลอดจากโรค ควบคู่กับฟาร์มปลายทางก็ควรต้องมีเล้ากักโรคและตรวจสอบอีกครั้ง ผู้ประกอบการโรงชำแหละ ต้องจัดจุดล้างและพ้นยาฆ่าเชื้อไว้บริการสำหรับรถขนส่งหมูทุกคันที่ขนส่งหมูเข้ามาและออกจากโรงชำแหละ เพราะจุดนี้จะมีหมูจากหลายแหล่งมารวมกัน ถ้ามีหมูแหล่งใดป่วย เชื้อโรคอาจปนเปื้อนไปกับรถขนส่งที่จะไปรับหมูเที่ยวต่อไป และแพร่เชื้อสู่ฟาร์มหมูได้ ดังนั้นหลังการลงหมูทุกครั้ง รถที่จะออกจากโรงชำแหละจะต้องผ่านการล้างทำความสะอาด และพ่นยาฆ่าเชื้อเพื่อให้มั่นใจว่ารถคันนี้จะปลอดเชื้อโรคก่อนขนส่งสุกรเที่ยวต่อไป ผู้ประกอบการฟาร์มหมูที่มีเล้าหมูมากกว่า 2 ขึ้นไป มีข้อแนะนำว่าไม่ควรรับซื้อหมูจากพื้นที่ที่มีความเสี่ยงโรค นอกจากนั้น หลังรับหมูขุนเข้าเลี้ยงภายใน 15 วันแรก ควรแยกคนเลี้ยงและอุปกรณ์ต่างๆ ทั้งหมด เปรียบเสมือนเป็นการกักโรคเช่นเดียวกับกรณีสงสัยว่าคนในครอบครัวติดโควิด-19 ที่ต้องอยู่แยกห้องกัน โดยกรณี ASF ควรกักโรคแบบแยกเป็นระยะอย่างน้อย 15 วันตามระยะฝักโรค ซึ่งหากในช่วงเวลานี้มีหมูแสดงอาการตายเฉียบพลัน ซึ่งมักเป็นอาการเริ่มต้นของโรค จะต้องตรวจสอบยืนยันโรคเสมอ เพราะว่าหากพบโรคได้เร็วและยังใช้มาตรการกักโรคอยู่ หมูกลุ่มอื่นๆ ในฟาร์มอาจยังไม่ติดเชื้อ ซึ่งในทางวิชาการก็มีวิธีการตรวจสอบยืนยันการปลอดโรคได้เช่นกัน กรมปศุสัตว์ สมาคมผู้เลี้ยงหมูและผู้ประกอบการเลี้ยงหมู ควรทำแผนฉุกเฉินร่วมกันกรณีที่มีการแพร่ระบาดของโรคไปในวงกว้างในผู้เลี้ยงรายย่อย เพื่อเตรียมความพร้อมทั้งทางด้านอัตรากำลังคน กำลังทรัพย์ และกำลังใจ เพื่อสนับสนุนผู้ปฏิบัติงานด้านการป้องกันและควบคุมโรค จากมาตรการที่กล่าวมา หากได้นำไปปฏิบัติหรือดัดแปลงไปใช้ให้ตรงบริบทกับหน้างาน คงพอจะช่วยป้องกันและควบคุมโรค ได้ในระดับหนึ่ง อย่างที่ได้เรียนในบทความก่อนขอให้ผู้เกี่ยวข้องทุกท่านตระหนักแต่อย่าถึงขนาดตระหนกจนทำให้ธุรกิจหมูในภาพรวมเดินต่อไปไม่ได้ ผู้เขียนเชื่อมั่นว่าด้วยความร่วมมือกันของทุกภาคส่วนจะทำให้ “ผู้เลี้ยงหมูรายย่อยต้องอยู่ได้ ผู้เลี้ยงหมูรายกลางและรายใหญ่ต้องอยู่รอด” น.สพ.ดำเนิน จตุรวิธวงศ์ รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส ด้านบริการวิชาการสุกร บริษัท ซีพี่เอฟ ( ประเทศไทย) จำกัด ( มหาชน) อ่านบทความย้อนหลัง เรื่องรวมพลังต้านภัย ASF ได้ที่นี่เลยครับ Home คู่มือการเลี้ยงสัตว์ ดาวน์โหลดฟรี
รวมพลังต้านภัย ASF ตอนที่ 2 : แนวทางป้องกันและควบคุมโรค Read More »
รวมพลังต้านภัย ASF ตอนที่ 1 : มูลเหตุของปัญหาและหลักการควบคุมโรค ยังคงเป็นประเด็นร้อนในทุกประเทศของเอเชีย เกี่ยวกับโรค ASF บทความนี้จะไม่ขอกล่าวถึงการป้องกันโรคเพราะเชื่อมั่นว่ากลุ่มฟาร์มขนาดกลางและใหญ่ส่วนมากก็ดำเนินการได้เป็นอย่างดี สามารถป้องกันฟาร์มของตนเองจากโรคนี้ได้ ด้วยการใช้หลักการการป้องกันโรคทั่วไปของฟาร์ม จึงทำให้ฟาร์มมักรอดพ้นจากโรค ส่วนฟาร์มที่มักติดโรค ก่อนเสมอในแต่ละเขตพื้นที่ มักเป็นฟาร์มผู้เลี้ยงหมูรายย่อย ที่แทบจะกล่าวได้ว่าเป็นฟาร์มที่ไม่มีระบบป้องกันโรคที่ดีและเพียงพอที่จะป้องกันโรคนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ แม้ว่าจะมีผู้เลี้ยงหมูรายย่อยหลายรายที่อยากจะปรับปรุงพัฒนาระบบป้องกันโรคให้ได้เหมือนฟาร์มขนาดใหญ่ แต่ก็ขาดเงินลงทุน ทำให้ขาดความพร้อมด้านโครงสร้างฟาร์มที่จะช่วยในการป้องกันโรค อย่างเช่น การก่อสร้างรั้วให้ได้มาตรฐานที่สามารถป้องกันสัตว์พาหะ หรือการทำโรงเรือนให้เป็นระบบปิดปรับอากาศหรือที่เรียกว่าอีแว็ป หรือมีมุ้งป้องกันแมลงวันที่อาจปนเปื้อนเชื้อโรคจากฟาร์มหมูที่ป่วย หรือการสร้างเล้าขายหมูที่แยกออกมาจากฟาร์ม เพื่อป้องกันไม่ให้คนภายนอกเข้าไปรับซื้อหมูถึงหน้าเล้าและสัมผัสกับตัวหมูในฟาร์มโดยตรง หรือการไม่มีเงินที่จะขุดเจาะน้ำบาดาลเพื่อให้หมูบริโภค เลยต้องใช้น้ำผิวเดินที่อาจปนเปื้อนเชื้อโรคจากการที่มีผู้นำเอาหมูป่วยตายมาทิ้งลงแหล่งน้ำ เป็นต้น นอกจากนี้ จากปัญหาด้านงบลงทุนของผู้เลี้ยงหมูรายย่อย จึงมักพบความเสี่ยงต่อการนำโรคเข้าฟาร์มคือ แหล่งวัตถุดิบของอาหารที่ใช้เลี้ยงสุกรและแหล่งรับการผสมพันธุ์จากพ่อพันธุ์เร่ผสม กรณีความเสี่ยงจากวัตถุดิบอาหาร ไม่ว่าจะเป็นการใช้เศษอาหารจากครัวเรือนเพื่อลดต้นทุนในการเลี้ยง หรือการใช้แหล่งอาหารที่มีความเสี่ยงต่อการปนเปื้อนเชื้อ เช่น ต้องไปซื้อหัวอาหารจากโรงสีที่ทำฟาร์มเลี้ยงหมูอยู่ที่เดียวกัน หรือไปซื้ออาหารจากร้านขายอาหารที่ทำธุรกิจชำแหละหมูร่วมด้วย เป็นต้น ส่วนกรณีความเสี่ยงจากแหล่งพ่อพันธุ์ที่นำมาใช้ผสมพันธุ์ในฟาร์ม เกิดจากผู้เลี้ยงรายย่อยไม่มีเงินทุนพอที่จะเลี้ยงพ่อพันธุ์ไว้ใช้เองในฟาร์ม เลยต้องรับบริการผสมพันธุ์จากพ่อพันธุ์รถเร่ที่รับผสมพันธุ์ร่วมกกันจากหลายฟาร์ม เป็นต้น ซึ่งการปฏิบัติเหล่านี้ล้วนเป็นปัจจัยเสี่ยงหลักของการติดโรคในสุกรของผู้เลี้ยงหมูรายย่อย ที่มิอาจหลีกเลี่ยงได้ และที่สำคัญการเข้าถึงแหล่งข้อมูลข่าวสารโรคระบาดของผู้เลี้ยงหมูรายย่อย อาจเข้าถึงได้น้อยกว่าผู้เลี้ยงรายกลางและใหญ่ ทำให้ไม่มีการเฝ้าระวังโรคจากฟาร์มข้างเคียงได้รวดเร็วพอ กว่าจะรู้ว่ามีหมูป่วยในพื้นที่ก็ปรากฏว่า โรคได้แพร่เข้าสู่ฟาร์มแล้ว ดังจากข่าวที่เราพบในต่างประเทศ เมื่อพบการเกิดโรคขึ้นจุดหนึ่ง พอตรวจประเมินฟาร์มที่อยู่ข้างเคียงก็มักจะพบหมูติดเชื้อไปแล้วเป็นส่วนใหญ่ หรืออาจพบว่า ฟาร์มที่รับซื้อหมูไปเลี้ยงเกิดโรคขึ้นมา เมื่อตรวจสอบที่ฟาร์มต้นทางก็ปรากฏว่า มีการติดเชื้อไปแล้วแต่ยังไม่แสดงอาการ ดังนั้น การตรวจประเมินเพื่อเฝ้าระวังโรคทั้งฟาร์มต้นทางและปลายทางจึงเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการซื้อขายและเคลื่อนย้ายหมูในเขตพื้นที่เสี่ยง โรค ASF จะแพร่จากที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่งได้จะต้องมีพาหะพาไป เชื้อโรคมักแพร่ไปกับตัวหมูจากการขนส่งหมูมีชีวิตที่สุขภาพยังปกติจากพื้นที่ที่มีการระบาดของโรคโดยไม่ได้ตรวจสอบอย่างถูกต้อง หรือเชื้อโรคแพร่ไปกับเนื้อหมูและผลิตภัณฑ์เนื้อหมูในตลาดที่เกิดจากการขายหมูที่ติดเชื้อโรคแล้วขายเข้าโรงชำแหละ หรือ เชื้อโรคติดมากับรถรับซื้อหมูที่อาจผ่านการขนส่งหมูป่วยโดยที่ไม่ทราบ หรือเชื้อโรคติดมากับคนที่เดินทางมาจากพื้นที่โรคระบาด เป็นต้น จากรายงานการเกิดโรคในหลายประเทศพบว่าในพื้นที่มักพบโรคระบาดเกิดขึ้นก่อน คือในผู้เลี้ยงหมูรายย่อย โดยความผิดพลาดที่พบคือการไม่ทราบว่าหมูเป็นโรคอะไรทำให้การทำลายหมูป่วยที่ติดโรคช้า เชื้อโรคจึงแพร่เชื้อไปในสิ่งแวดล้อม หรือการลักลอบเทขายหมูที่มีความเสี่ยงติดโรคโดยไม่รอการตรวจสอบยืนยัน การกระทำนี้จะยิ่งทำให้เชื้อโรคแพร่ไปกับตัวหมูและผลิตภัณฑ์เนื้อหมู ที่สามารถแพร่ไปได้ไกลจนกว่าจะมีใครมาสัมผัสกับเชื้อโรคแล้วนำกลับเข้าฟาร์ม หรือฟาร์มบางรายอาจฝังทำลายหมูป่วยแบบไม่ถูกต้อง บ่อที่ฝังหมูอาจระเบิดจากแก๊สที่เกิดขึ้นจากกระบวนการหมักตามธรรมชาติ หรือมีน้ำหลืองหมูเยิ้มออกมาจากปากหลุมที่ปิดไม่สนิทหรือไม่หนาเพียงพอ ซึ่งเป็นสิ่งล่อให้แมลงวันมาสัมผัส ฟักไข่ เกิดลูกหลานแมลงวันที่สามารถแพร่เชื้อโรคต่อไปได้ในฟาร์มบริเวณใกล้เคียง หรือการทิ้งซากหมูป่วยตายลงแหล่งน้ำ ซึ่งจะทำให้เชื้อโรคแพร่ไปได้ไกลตามที่น้ำไหลไปถึงได้เช่นกัน ดังนั้นการป้องกันและควบคุมโรคที่ดี ควรเป็นความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นเจ้าหน้าที่กรมปศุสัตว์ ผู้ประกอบการฟาร์มหมูทั้งรายกลางและรายใหญ่ และฟาร์มผู้เลี้ยงหมูรายย่อย และควรดำเนินการเป็นพื้นที่เช่น จังหวัด หรือเขตปศุสัตว์ เพราะถ้าทุกคนเข้าใจการแพร่โรค และเข้าใจการป้องกันควบคุมโรคได้อย่างถูกต้อง การแพร่กระจายของโรคก็จะลดลงและสามารถควบคุมโรคได้ในที่สุด แต่หากมีเพียงฟาร์มหมูรายใดรายหนึ่งไม่ให้ความร่วมมือ ความเสี่ยงจากการแพร่โรคในพื้นที่นั้นย่อมมีมากขึ้นเช่นกัน และหากไม่สามารถหยุดยั้งโรคได้ การแพร่ระบาดโรคในวงกว้างก็อาจเกิดขึ้น ผลเสียก็ตกไปที่ผู้เลี้ยงหมูทุกคนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยหลักการควบคุมโรค ASF นั้นอาศัยหลักการที่ว่า “รู้เร็ว จัดการเร็ว จบเร็ว” ซึ่งฟังดูแล้วคล้ายจะง่าย แต่ในทางปฏิบัติถ้าไม่เข้าใจลักษณะของโรคอย่างลึกซึ้ง อาจนำไปสู่ความผิดพลาดในการควบคุมโรค อย่างเช่น คำว่า “รู้เร็ว” หรือ Early Detection ถือว่าเป็นส่วนสำคัญยิ่งของการควบคุมโรคเลยก็ว่าได้ โดยทางทฤษฏี คือการที่ทราบได้อย่างรวดเร็วว่าหมูในฟาร์มตัวแรกติดโรคแล้ว ถึงตรงนี้ก็จะต้องย้อนคิดด้วยว่าโรคนี้มีระยะฟักตัวเฉลี่ยอยู่ที่ 5-15 วัน ดังนั้นการตรวจพบหมูป่วยตัวแรก ก็แสดงว่าการติดเชื้อของฟาร์มนี้อาจเกิดขึ้นมาในช่วง 15 วันก่อนหน้านั้นแล้ว และโดยปกติหมูที่เริ่มป่วยมักมีอาการไม่ชัดเจน หากเราไม่เชื่อมั่นในผลการตรวจหรือใช้เวลาตรวจสอบยืนยันนาน ก็จะส่งผลเสียเพราะโรคในฟาร์มอาจลุกลามจนยากจะแก้ไข ดังนั้นการตรวจสอบว่าหมูในฟาร์มป่วยให้ได้เร็วที่สุดจึงมีความจำเป็น และปกติการตรวจหมูที่สุขภาพดี มักจะไม่พบการติดเชื้อซึ่งเป็นเรื่องปกติ ดังนั้นเพื่อให้ทราบการติดเชื้อได้เร็ว ฟาร์มที่อยู่ในพื้นที่เสี่ยงการระบาด อาจต้องสุ่มตรวจหมูทุกตัวที่ตายเฉียบพลันโดยไม่ทราบสาเหตุ เพราะวิธีการนี้ได้รับการยืนยันจากผู้เชี่ยวชาญว่าจะสามารถตรวจพบโรคได้เร็วกว่าการตรวจหมูที่สุขภาพดี และนอกเหนือจากการตรวจสอบโรคใด้เร็วแล้ว ประเด็นสำคัญต่อมาคือ “การสืบสวนโรค” หรือการสืบค้นหาหมูกลุ่มเสี่ยงที่อาจติดเชื้อเพราะมีความเชื่อมโยงกับหมูที่ป่วยเป็นโรค กรณีนี้จะใกล้เคียงกันกับโรคโควิด – 19 ในคน คือการสืบหาผู้สัมผัสเชื้อและมีความเสี่ยงว่าจะติดเชื้อ ซึ่งจะต้องสืบหากลุ่มเสี่ยงให้ครบถ้วน เพื่อการตรวจสอบและแก้ไข ก่อนที่กลุ่มเสี่ยงเหล่านี้จะแพร่เชื้อต่อไป สำหรับหมูที่มีความเสี่ยงจะติดเชื้อ ก็คือหมูที่มีโอกาสสัมผัสกับหมูที่ป่วยทั้งทางตรงและทางอ้อม เช่น คนเลี้ยงเดียวกัน ใช้อุปกรณ์ฉีดยาและวัคซีนร่วมกัน ใช้น้ำเชื้อจากแหล่งเดียวกัน ขนส่งด้วยรถขนเส่งเดียวกัน มีบุคคลจากภายนอกเข้ามาในโรงเรือนเป็นคนเดียวกัน เป็นต้น โดยหมูกลุ่มที่มีความเสี่ยงสัมผัสเชื้อโรคเหล่านี้ จะต้องถูกตรวจสอบการติดเชื้อภายในระยะเวลามากกว่า 15 วัน นับจากวันที่คาดว่าหมูกลุ่มนี้ไปสัมผัสเชื้อโรค ด้วยความเสี่ยงที่กล่าวมาจะเห็นว่าการเคลื่อนย้ายหมูออกจากพื้นที่ระบาดของโรคโดยไม่รอการตรวจสอบตามระยะเวลาที่ถูกต้อง จะเป็นความเสี่ยงสำคัญยิ่งยวดของการแพร่กระจายโรค ซึ่งกรณีนี้สามารถเทียบเคียงได้กับโรคโควิด-19 คือผู้มีความเสี่ยงต่อการติดโรคต้องถูกกักโรคอย่างน้อย 14 วัน ตามระยะเวลาฟักโรค ดังนั้นสำหรับโรค ASF หมูกลุ่มที่มีความเสี่ยงจะติดโรคนี้ควรกักไว้ในพื้นที่ที่แยกจากหมูกลุ่มอื่นๆ หรือที่เรียกว่าเล้ากักโรค และต้องตรวจสอบยืนยันโรคอีกครั้งเมื่อผ่านพ้นระยะกักโรคคือมากกว่า 15 วันขึ้นไป และถ้าจะให้มั่นใจก็ควรรอตรวจสอบจนถึง 30 วัน หรือประมาณ 2 รอบของระยะฟักตัวของโรค จากมูลเหตุของปัญหาทั้งหมดดังที่กล่าวมา เมื่อนำข้อมูลมาวิเคราะห์ให้ดีจะเห็นว่า การระบาดของโรคขึ้นกับความพร้อมด้านการป้องกันโรคเป็นหลัก โดยฟาร์มในประเทศไทย มีทั้งฟาร์มขนาดกลางและขนาดใหญ่ที่มีศักยภาพในการป้องกันโรคได้ดีอยู่แล้วส่วนหนึ่ง กับฟาร์มผู้เลี้ยงหมูรายย่อย ที่ไม่มีความพร้อมในการป้องกันโรคกระจายอยู่ทั่วไป ดังนั้นเพื่อลดความเสี่ยงจากโรคดังกล่าวในแต่ละพื้นที่ คงต้องอาศัยความร่วมมือของผู้มีศักยภาพในการป้องกันโรค ให้ช่วยเหลือฟาร์มผู้เลี้ยงหมูรายย่อย ในพื้นที่ของตัวเองด้วย เพราะหากผู้เลี้ยงหมูรายย่อยในเขตพื้นที่ตนเองป่วยเป็นโรคในปริมาณมากๆ ฟาร์มหมูรายกลางและรายใหญ่ก็จะมีความเสี่ยงที่อาจจะติดโรคนี้ไปด้วย เพราะโรคนี้จะแตกต่างจากโรคหมูชนิดอื่น ที่ทุกคนไม่อาจปปฏิเสธได้ คือ “เป็นแล้วตาย รักษาไม่หาย ไม่มีวัคซีนป้องกัน” ดังนั้น การป้องกันโรคและควบคุมโรคจึงไม่ใช่แค่กิจกรรมในระดับฟาร์มเท่านั้น การป้องกันและควบคุมโรคระดับพื้นที่ ระดับจังหวัด และระดับประเทศ ต้องทำให้ครบรอบด้านทั้งหมด ถึงจะสามารถรับมือโรคนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งจะขอให้ข้อมูลรายละเอียดอีกครั้งในบทความตอนต่อไป ก่อนจบในตอนแรกนี้ขอฝากถึงผู้เลี้ยงหมูทุกท่านอีกครั้งว่า โรค ASF เป็นโรคที่น่ากลัวก็จริงแต่ก็ยังมีแนวทางที่จะป้องกันและควบคุมโรคได้ เป็นโรคที่ควรให้ความตระหนักมิใช่ตระหนกจนกลัวไปเสียทุกสิ่ง เชื้อโรคจะแพร่ไปได้ก็ต่อเมื่อมีพาหะพาไปเท่านั้น และเมื่อมีโรคเกิดขึ้น ณ ฟาร์มหนึ่งๆ แล้วนั้น หมูกลุ่มอื่นที่มีความเสี่ยงก็คือ หมูที่มีโอกาศสัมผัสกับหมูป่วยโดยตรงหรือโดยอ้อม โดยหมูที่มีความเสี่ยงสูงคือหมูที่สัมผัสใกล้ชิดกับหมูป่วยโดยตรง เช่นอยู่ในคอกหรือเล้าเดียวกัน ส่วนหมูที่อยู่อยู่ต่างเล้าความเสี่ยงก็จะลดลง หากไม่มีอะไรเชื่อมโยงถึงกัน เช่นไม่ใช้อุปกรณ์ฉีดวัคซีนร่วมกัน คนเลี้ยงร่วมกัน หรือมีสัตว์พาหะแพร่เชื้อเช่นแมลงวัน หนู เป็นต้น ส่วนฟาร์มที่อยู่ห่างออกไป และไม่มีอะไรที่เชื่อมโยงถึงกันเลย ความเสี่ยงก็จะน้อยลงไปตามลำดับความเชื่อมโยงที่มี ดังนั้นการเกิดโรคในฟาร์มแห่งหนึ่ง ในอำเภอหรือจังหวัดหนึ่ง ก็ไม่ได้หมายความว่าหมูทุกตัวในจังหวัดนั้นมีความเสี่ยง เพราะหมูที่มีความเสี่ยงสูงอาจเป็นหมูอีกจังหวัดหนึ่งก็อาจเป็นได้หากสืบสวนแล้วพบว่ารับหมูทดแทนจากฟาร์มที่ป่วยนี้ไป ดังนั้นขอให้ทุกท่านมุ่งมั่นในมาตรการป้องกันโรคของตนต่อไป และตรวจสอบทุกครั้งหากสังสัยว่าฟาร์มตนเองอาจมีความเชื่อมโยงกับแหล่งหมูป่วย แล้วพบกันใหม่ในบทความตอนต่อไป ว่าควรต้องทำอย่างไรให้ “ผู้เลี้ยงหมูรายย่อยต้องอยู่ได้ ผู้เลี้ยงหมูรายกลางและรายใหญ่ต้องอยู่รอด” CR. น.สพ.ดำเนิน จตุรวิธวงศ์ รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส ด้านบริการวิชาการสุกร บริษัท ซีพี่เอฟ ( ประเทศไทย) จำกัด ( มหาชน) อ่านบทความย้อนหลัง เรื่องรวมพลังต้านภัย ASF ได้ที่นี่เลยครับ Home คู่มือการเลี้ยงสัตว์ ดาวน์โหลดฟรี
รวมพลังต้านภัย ASF ตอนที่ 1 : มูลเหตุของปัญหาและหลักการควบคุมโรค Read More »