Logo-CPF-small-65png

ถุงน้ำในรังไข่ ปัญหาใหญ่ชาววัวนม

ขอนำเกษตรกรทุกท่านมารู้จักกับปัญหา “ถุงน้ำในรังไข่” เพราะ “ปัญหาการผสมไม่ติด”ถือเป็น 1 ใน 3 ปัญหาหลักสำหรับเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนม นอกเหนือไปจาก..ปัญหาเต้านมอักเสบ..และ..ปัญหาเรื่องกีบ.. ปัญหาถุงน้ำในรังไข่ดังกล่าว ก็เป็นหนึ่งในสาเหตุของปัญหาผสมไม่ติด ซึ่งอาการที่วัวแสดงออกนั้น อาจจะเป็น 1) การเป็นสัดถี่หรือเป็นสัดไม่ตรงรอบ (ประมาณ 20-30%) ซึ่งหากเป็นอาการแบบแรกเกษตรกรจะสังเกตเห็นเอง ตามหมอมาล้วงตรวจรังไข่ และทำการรักษาต่อไป 2) ไม่แสดงการเป็นสัดให้เห็น (ประมาณ 70-80%) แต่ถ้าเป็นแบบนี้ เกษตรกรอาจจะรู้ตัวช้าและเข้าใจว่าเกิดการจับสัดพลาดและปล่อยผ่านไปซึ่งนั่นจะทำให้เกิด..วัวกินอาหารฟรี..ภายในฟาร์ม ซึ่งเกษตรกรจะต้องแบกรับต้นทุนค่าอาหารมากขึ้นนั่นเอง เรื่องนี้ยิ่งรู้ช้ายิ่งขาดทุน! ถุงน้ำในรังไข่คืออะไร ??? สัตว์แสดงอาการอย่างไร ??? ถุงน้ำในรังไข่ คือถุงน้ำซึ่งเกิดขึ้นบนรังไข่ “ มีขนาดใหญ่กว่า 25 มิลลิเมตร ” (ไข่ก่อนการตกไข่ ปกติขนาดประมาณ 15-25 มิลลิเมตร) และมีการคงค้างมากกว่า 10 วัน มักเกิดหลังคลอด ซึ่งเรามักจะมองว่าเป็นปัญหา เมื่อไม่เห็นการเป็นสัดนานกว่า 6 อาทิตย์หลังคลอด หรือแสดงการเป็นสัดถี่ไม่ตรงรอบชัดเจน โดยปกติถุงน้ำนี้จะมีสองประเภท คือ 1) ถุงน้ำผนังบาง หรือ “ซีสต์น้ำ” สัตว์อาจแสดงอาการเป็นสัดถี่ หรือไม่แสดงอาการเป็นสัดก็ได้ 2) ถุงน้ำผนังหนา หรือ “ซีสต์เนื้อ” สัตว์มักไม่แสดงอาการเป็นสัด ทั้งนี้การแยกประเภทของถุงน้ำสามารถยืนยันได้ด้วยเครื่องอัลตราซาวด์ แต่หากไม่มีใช้ในพื้นที่ก็จำเป็นต้องใช้ความชำนาญของผู้ตรวจสอบโดยการคลำรังไข่ผ่านทางทวาร เกิดในวัวได้อย่างไร ???         สาเหตุของถุงน้ำในรังไข่ยังคงไม่เป็นที่เข้าใจดี แต่พบว่าสามารถส่งต่อทางพันธุกรรมได้, มักพบปัญหาในแม่วัวให้นมมาก, เป็นในแม่วัวหลายท้อง, หรือแม่โคได้รับสารพิษจากเชื้อรา ที่ปนเปื้อนมากับอาหาร (ส่งผลกระทบต่อการทำงานของระบบฮอร์โมนที่เกี่ยวกับระบบสืบพันธุ์), แม่วัวที่มีภาวะขาดพลังงานหลังคลอด, แม่วัวที่มีภาวะคลอดยากและเกิดมีโรคหลังคลอดอื่นๆตามมา การแก้ไขปัญหาและการป้องกัน ปัญหาถุงน้ำในรังไข่ที่พบ โดยปกติร่างกายแม่วัวจะปรับสมดุลย์ของฮอร์โมนและทำให้ถุงน้ำที่เกิดนั้นฝ่อสลายไปได้โดยเราไม่ต้องทำอะไร  โดยเฉพาะหากเราพบปัญหาก่อนการตกไข่ครั้งแรก ประมาณ 60% ถุงน้ำนั้นจะฝ่อสลายเอง แต่หากเราพบปัญหาหลังการตกไข่ ครั้งที่  2, 3, หรือต่อๆไป โอกาสที่ถุงน้ำนั้นจะฝ่อสลายเองมีเพียง 20% จึงจำเป็นต้องอาศัยการรักษาด้วยการใช้ฮอร์โมน..  โดยใช้ฮอร์โมน GnRH (ชื่อการค้า : เฟอร์ตากิล) แล้วตามด้วยฮอร์โมน PGF2α (ชื่อการค้า : ลูทาไลท์ ,เอสตรูเมท) ใน 10 – 14 วัน ภายหลังฮอร์โมน GnRH ก่อนการใช้ฮอร์โมน สัตว์ควรได้รับการตรวจจากสัตวแพทย์ก่อน เพราะหากวินิจฉัยแยกชนิดของถุงน้ำที่พบได้ จะประหยัดค่าฮอร์โมนที่ใช้ (ใช้เพียงตัวใดตัวหนึ่ง) และเป็นการตรวจสุขภาพอื่นๆยืนยันว่าแม่วัวไม่มีโรคอื่นแทรกซ้อน      ระวัง “วิธีการบีบให้แตก”.!!!..ปัจจุบันไม่นิยมให้ทำการบีบให้แตกโดยการล้วงผ่านทางทวารหนักเพราะมีความเสี่ยงที่จะก่อให้เกิดเลือดออก มีรอยแผลบนรังไข่ อาจส่งผลทำให้การเจริญหรือการตกไข่ในวงรอบต่อไปไม่สมบูรณ์และเนื่องจากสาเหตุของโรคยังไม่เป็นที่ทราบแน่ชัด ดังนั้นการจัดการอาหารที่ถูกต้องให้มีความสมดุลทั้งในแง่ของพลังงาน โปรตีนและแร่ธาตุตามปริมาณการให้น้ำนมเป็นปัจจัยพื้นฐานที่สำคัญซึ่งจะส่งผลต่อสุขภาพของแม่วัว  ตลอดจนการป้องกันการเกิดโรคหลังคลอดต่างๆ ก็จะทำให้ลดปัจจัยเสี่ยงในการเกิดโรค นอกจากนี้การจับสัดที่ดี มีโปรแกรมการล้วงตรวจระบบสืบพันธุ์เป็นประจำ เช่น ล้วงตรวจมดลูกหลังคลอด 30 วัน, ล้วงตรวจวัวที่ไม่เห็นการเป็นสัดใน 60 วันหลังคลอด ก็จะช่วยให้สามารถระบุปัญหาต่างๆได้ไว ยิ่งขึ้นด้วย

ถุงน้ำในรังไข่ ปัญหาใหญ่ชาววัวนม Read More »

Farm Talk คุยเฟื้องเรื่องฟาร์ม EP.19 l ลดความเสี่ยง เลี่ยงอุบัติภัย ระบบไฟฟ้าปลอดภัยไม่ใช่เรื่องยาก

Farm Talk คุยเฟื้องเรื่องฟาร์ม EP.19 l ลดความเสี่ยง เลี่ยงอุบัติภัย ระบบไฟฟ้าปลอดภัยไม่ใช่เรื่องยาก Read More »

ซีพีเอฟ จับมือ อ.ส.ค. เดินหน้าโครงการสี่ประสานสร้างความยั่งยืนโคนมไทย

ซีพีเอฟ จับมือ อ.ส.ค. เดินหน้าโครงการสี่ประสานสร้างความยั่งยืนโคนมไทยบริษัท ซีพีเอฟ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ร่วมกับ องค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย (อ.ส.ค.) ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) การพัฒนาผู้เลี้ยงโคนมไทย “โครงการสี่ประสาน สร้างความยั่งยืนโคนมไทย” มุ่งเป้าพัฒนาฟาร์มต้นน้ำโคนมไทย พร้อมส่งต่อองค์ความรู้ให้กับทั้งสหกรณ์โคนม-ศูนย์รวบรวมน้ำนมดิบ และเกษตรกรโคนม ดันมาตรฐานการจัดการโคนม ได้น้ำนมคุณภาพสูง สร้างผลกำไรสูงสุด เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตเกษตรกรโคนมสู่ความสำเร็จที่ยั่งยืน​นายสุชาติ จริยาเลิศศักดิ์ รองผู้อำนวยการ ทำการแทนผู้อำนวยการ องค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย (อ.ส.ค.) เปิดเผยว่า อ.ส.ค. มีภารกิจที่ต้องการยกระดับความสามารถเกษตรกรโคนมไทยให้ดำรงอาชีพอย่างมั่นคงและยั่งยืน ดังนั้นการที่มีภาคเอกชนมาร่วมมือเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย จึงเป็นเรื่องน่ายินดี โดยเฉพาะความร่วมมือจาก ซีพีเอฟ ที่เป็นผู้นำด้านเกษตรอุตสาหกรรมและอาหาร ที่มุ่งพัฒนาอาหารสัตว์บกคุณภาพสูงเพื่อเกษตรกรมาโดยตลอด ขณะที่ อ.ส.ค. เป็นผู้นำด้านการส่งเสริมอาชีพการเลี้ยงโคนม เป็นผู้รับซื้อและจำหน่ายผลิตภัณฑ์นมคุณภาพ การผนึกกำลังอย่างเข้มแข็งทำให้มีผลลัพธ์ของการดำเนินโครงการที่น่าพอใจ“โครงการนี้ ถือเป็นก้าวสำคัญของความร่วมมือที่จะส่งผลดีต่อเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนม และอุตสาหกรรมนมไทย โดยที่ผ่านมามี 5 ศูนย์รวบรวมน้ำนมดิบ ที่ได้ร่วมมือกับซีพีเอฟในการพัฒนาตลอดกระบวนการผลิตน้ำนมให้มีมาตรฐาน ส่งผลให้ตัวชี้วัดด้านคุณภาพและประสิทธิภาพมีค่าเฉลี่ยที่ดีขึ้น ทั้งค่าองค์ประกอบน้ำนม ผลผลิต ประสิทธิภาพการเลี้ยงโคนม รวมถึงด้านความสะอาดของน้ำนม และตั้งเป้าว่าต้องมีค่าโซมาติกเซลล์ (ค่า SCC) ไม่เกิน 500,000 เซลล์ต่อมิลลิลิตร ตามเกณฑ์การรับซื้อน้ำนมดิบตามข้อกำหนดของคณะกรรมการโคนมและผลิตภัณฑ์นม” นายสุชาติ กล่าวด้าน นายเรวัติ หทัยสัตยพงศ์ รองกรรมการผู้จัดการบริหาร ธุรกิจอาหารสัตว์บก ซีพีเอฟ กล่าวว่า บริษัทมีองค์ความรู้ด้านการเลี้ยงและการจัดการโคนมมานานกว่า 30 ปี โดยมีฟาร์มวิจัยและพัฒนาด้านโคนมของซีพีเอฟทั้ง 4 แห่งทั่วประเทศ ที่มีความพร้อมด้านทรัพยากรคน เครื่องมือ และเทคโนโลยีทันสมัย ที่ช่วยยกระดับมาตรฐานการเลี้ยงโคนม เพื่อแบ่งเบาภาระเกษตรกร ลดรายจ่าย เพิ่มรายได้ ด้วยการพัฒนาการจัดการด้านการเลี้ยงให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด โดยซีพีเอฟได้เริ่มต้นความร่วมมือพัฒนาศูนย์นมและเกษตรกรโคนมในเครือข่ายของ อ.ส.ค. รวม 5 ศูนย์รวบรวมน้ำนมดิบ ได้แก่ สหกรณ์โคนมกระนวนสามัคคี, สหกรณ์โคนมน้ำพอง จ.ขอนแก่น, สหกรณ์โคนมหนองวัวซอ จ.อุดรธานี, สหกรณ์โคนมแม่โจ้ จ.เชียงใหม่ และสหกรณ์โคนมไทย-เดนมาร์คลำพญากลาง จ.สระบุรี นับตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2563 เป็นต้นมา“ซีพีเอฟ และ อ.ส.ค. มีเป้าหมายเดียวกันในการยกระดับมาตรฐานอุตสาหกรรมนมไทยทั้งห่วงโซ่ จึงเกิดความร่วมมือในครั้งนี้ขึ้น และยังร่วมกันตั้งเป้าหมายในการขยายโครงการฯ ไปอีก 7 ศูนย์รวบรวมน้ำนมดิบทั่วประเทศ ภายในปีนี้ คาดว่าจะมีประชากรโคนม มากกว่า 12,000 ตัว มุ่งเป้าสู่ “การเกษตรแบบแม่นยำ” ด้วยการเก็บข้อมูลบันทึกการเลี้ยง สำหรับนำมาวิเคราะห์เพื่อแก้ไขปัญหาอย่างตรงจุด และสามารถวัดผลได้ พร้อมส่งต่อองค์ความรู้และมาตรฐานของซีพีเอฟสู่เกษตรกรโคนม มุ่งเน้นให้คนเลี้ยงโคนมมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ตลอดจนร่วมกันสร้างผลผลิตน้ำนมที่มีคุณภาพ สด สะอาด ปลอดภัย สู่ผู้บริโภค” นายเรวัติกล่าว  

ซีพีเอฟ จับมือ อ.ส.ค. เดินหน้าโครงการสี่ประสานสร้างความยั่งยืนโคนมไทย Read More »

รวมพลังต้านภัย ASF

รวมพลังต้านภัย ASF ตอนที่ 4 : จะทำอย่างไรเมื่อโรคมาเคาะประตูบ้าน

รวมพลังต้านภัย ASF ตอนที่ 4 : จะทำอย่างไรเมื่อโรคมาเคาะประตูบ้าน กลับมาเจอกันอีกครั้งกับรวมพลังต้านภัย ASF ตอนที่ 4 ตอนนี้ถือว่าเป็นตอนพิเศษที่สุดเลยก็ว่าได้ โดยบทความที่ผ่านมาจะกล่าวถึงการป้องกันและควบคุมโรคเป็นส่วนใหญ่ แต่บทความนี้จะเล่าประสบการณ์ของฟาร์มเกษตรกรรายย่อยในประเทศหนึ่ง ขนาด 164 แม่ และ 300 แม่ที่ยังยืนหยัดอยู่ได้เป็นปกติมาถึง 60 วันและมากกว่า 1 ปีตามลำดับ ในขณะที่ฟาร์มรอบข้างในรัศมีไม่เกิน 170 ถึง 650 เมตร หมูทั้งหมดถูกทำลายไปมากกว่า 3,000 ตัว ตามมาตรการลดความเสี่ยงจากโรคระบาด  ซึ่งฟาร์มทั้งสองแห่งนี้ใช้ระบบการเลี้ยงแบบโรงเรือนปิดหรือที่เรียกว่าโรงเรือนอีแว๊ป และนั้นดูเป็นเรื่องน่าตื่นเต้นมากหากเปรียบเทียบกับสถานการณ์โรคโควิด 19 ในคนในปัจจุบันเพราะเปรียบเสมือนมีโควิด 19 เกิดขึ้นที่ปากซอยหน้าบ้านเลยที่เดียว เรามาติดตามกันดูนะว่าเกษตรกรรายย่อยเหล่านั้นรอดพ้นภัยร้ายครั้งนี้มาได้อย่างไร เริ่มต้นจากทีมสัตวแพทย์​และผู้ดูแลโครงการลงพื้นที่พูดคุยกับเกษตรกรผู้เลี้ยงหมู​ แจ้งสถานการณ์​ความเสี่ยงให้เกษตรกรทราบ เพื่อขอความร่วมมือกับเกษตรกรให้ปฏิบัติ​ตามข้อแนะนำการป้องกันโรคอย่างเข้มงวด​ และมีทีมงานตรวจติดตามการปฏิบัติอย่างใกล้ชิด​ โดยไม่เข้าไปในเขตฟาร์ม​ของเกษตรกร ความร่วมมือแรกที่ขอจากเกษตรกรผู้เลี้ยงหมูคือ การให้คนงานในฟาร์มพักในที่พักของฟาร์มเท่านั้นยกเว้นกรณีจำเป็นต้องออกไปภายนอกก็จะต้องแจ้งให้ทราบ เพื่อจะได้หามาตรการป้องกันการนำเชื้อโรคกลับเข้ามาในฟาร์ม โดยพนักงานเลี้ยงหมูทุกคนก่อนเข้าปฏิบัติงานในเล้าหมู ต้องถอดรองเท้าและเสื้อผ้าที่ใช้ภายนอกฟาร์มออก แล้วอาบน้ำและเปลี่ยนชุดก่อนเสมอ และใช้รองเท้าบู้ทเฉพาะที่ใช้ในฟาร์มเท่านั้นโดยก่อนเข้าฟาร์มต้องจุ่มรองเท้าบู้ทในน้ำย่าเชื้อ 2 ครั้ง ที่หน้าห้องอาบน้ำและครั้งที่ 2 ที่ประตูเล้าก่อนเข้าเล้าหมู เกษตรกรเจ้าของฟาร์มจะเป็นผู้ออกไปภายนอกเพื่อซื้อของกินของใช้มาให้พนักงานในฟาร์มและอนุญาตให้ซื้อของเฉพาะของจากร้านค้าที่สะอาด ถูกหลักอนามัย เท่านั้น เพื่อป้องกันการปนเปื้อนเชื้อโรคจากพื้นที่เสี่ยง และห้ามซื้อเนื้อสัตว์กีบ เช่น เนื้อวัว เนื้อหมู เข้ามาประกอบอาหารในฟาร์ม รวมถึงผลิตภัณฑ์แปรรูปที่เกี่ยวข้องด้วย และเพื่อป้องกันคนภายนอกเข้ามาในเขตฟาร์ม ทางฟาร์มจะต้องปิดล๊อคประตูรั้วฟาร์มอยู่ตลอดเวลา  และทำการแบ่งเขตพื้นที่เลี้ยงหมูและที่พักอาศัยของคนงานออกจากกันให้ชัดเจน โดยทำแนวเขตด้วยรั้วสำรอง โดยใช้ห้องอาบน้ำก่อนเข้าเล้าหมูเป็นแนวเขตแบ่งพื้นที่ภายนอกและภายในฟาร์มที่เป็นเขตเลี้ยงหมู การส่งอาหารถุงมาใช้ที่ฟาร์มจะกำหนดให้มาส่งเพียงเดือนละครั้ง โดยกำหนดจุดโกดังวางอาหารให้ไว้ให้อย่างชัดเจน โดยก่อนรถขนส่งอาหารถุงมาถึง พนักงานในเล้าหมูจะต้องมาขนอาหารชุดเดิมเข้าไปไว้ในเล้าหมูก่อนอาหารชุดใหม่จะมาลงที่โกดัง เพื่อป้องกันการสัมผัสกันของพนักงานในเล้าหมูกับพนักงานขนส่งอาหาร และเมื่ออาหารชุดใหม่ถูกส่งมาถึงจะต้องวางพักไว้ 24 ชั่วโมงก่อนอนุญาตให้พนักงานเล้าหมูมานำไปใช้เลี้ยงหมู และจะกำหนดเส้นทางการขนส่งสำหรับรถทุกคันที่จำเป็นจะเข้ามาที่ฟาร์ม เช่น รถอาหารสัตว์ รถรับลูกหมูหย่านม จะต้องไม่ผ่านพื้นที่หรือเส้นทางที่เสี่ยงต่อโรค เช่น เส้นทางที่มีเล้าหมูที่เป็นโรคหรือเป็นเส้นทางที่เป็นจุดฝังทำลายหมูติดเชื้อ เป็นต้น และเมื่อรถทุกชนิดมาถึงที่ฟาร์มก็จะถูกพ่นยาฆ่าเชื้อที่ประตูฟาร์มก่อนเข้าไปในเขตฟาร์มเสมอ และรถที่ไม่จำเป็นจะกำหนดให้จอดด้านนอกประตู ไม่อนุญาตให้ขับเข้าไปจอดในเขตฟาร์ม และการหย่านมลูกหมูจากเล้านี้จะทำเพียงเดือนละครั้ง เพราะทำระบบการผสมแบบเป็นชุด หรือที่เรียกว่าระบบ Batch มาก่อนหน้านี้แล้ว โดยลูกหมูจะถูกหย่านมเพื่อลงเลี้ยงในพื้นที่ที่เป็นเขตเดียวกัน และจะมีโปรแกรมตรวจสอบภาวะปลอดโรคที่ฟาร์มปลายทางช่วง 7 และ 45 วันหลังรับเข้า โดยสุ่มเก็บเลือดหมูและน้ำลาย หรือการสวอปพื้นคอก โดยระหว่างที่รอเก็บตัวอย่างส่งตรวจตามโปรแกรม คนงานจะต้องคอยตรวจสอบสุขภาพสุกรตลอดเวลา หากพบอาการผิดปกติ เช่น ไม่กินอาหาร นอนซึม ให้แจ้งหัวหน้าผู้ที่รับผิดชอบดูแลทันที เพื่อเก็บตัวอย่างประเมินสภาวะการติดเชื้อโดยเร็ว และในช่วงที่พื้นที่นั้นยังมีข่าวการระบาดของโรคอยู่ในช่วง 30 วันแรก ก็จะหยุดผสมพันธุ์แม่หมู เมื่อผ่านช่วงที่มีความเสี่ยงและปรับปรุงระบบป้องกันโรคของฟาร์มจนมีความพร้อมที่สุดแล้ว ถึงจะเริ่มกลับมาผสมพันธุ์ตามปกติ นอกจากนี้ ยังได้กำหนดให้ฟาร์มเกษตรกรหยุดการขายแม่หมูคัดทิ้ง และหยุดการทดแทนหมูพ่อพันธุ์และแม่พันธุ์เข้าฟาร์ม จนกว่าจะไม่มีรายงานการเกิดโรคในพื้นที่เป็นเวลา 60 วัน นอกจากนี้ยังต้องลดการสัมผัสกับบุคคลภายนอกโดยหยุดขายมูลสุกรออกจากฟาร์ม ในส่วนของการป้องกันสัตว์พาหะก็เป็นประเด็นสำคัญ โดยเฉพาะแมลงวันที่มีรายงานยืนยันชัดเจนว่าสามารถแพร่เชื้อโรค ASF ได้ จากการที่ได้สุ่มจับแมลงวันในพื้นที่เสี่ยงโรคมาตรวจ ดังนั้นเพื่อควบคุมแมลงวัน เกษตรกรจึงต้องปิดโรคเรือนให้มิดชิด และมีมุ้งเขียวป้องกันเพิ่มเติมส่วนที่เป็นเยื่อกระดาษหน้าเล้าหมู และประตูทางเข้า นอกจากนั้นยังต้องวางกาวดักจับแมลงวันรอบ ๆ เล้าหมูเพื่อป้องกันแมลงไม่ให้เข้าไปในโรงเรือน นอกจากนี้ทางฟาร์มยังได้ป้องกันสัตว์พาหะอื่นๆ ร่วมด้วย โดยการวางยาพิษเบื่อหนู และกาวดักหนู รอบ ๆ เล้าหมู และปรับปรุงรั้วฟาร์มให้สามารถป้องกัน หมา และแมวได้ ในประเด็นเรื่องน้ำ เป็นความโชคดีที่ทางฟาร์มใช้น้ำบาดาลสำหรับการเลี้ยงหมูอยู่แล้วจึงลดความเสี่ยงการติดเชื้อผ่านทางน้ำ สำหรับฟาร์มที่ยังใช้น้ำผิวดินอยู่ควรเตรียมมาตรการหากโรคเข้ามาใกล้พื้นที่ ควรงดใช้น้ำผิวดินเพื่อการเลี้ยงหมูโดยเด็ดขาด และที่สำคัญทางฟาร์มได้จัดทำบ่อทิ้งซากไว้ในฟาร์มอยู่แล้ว โดยจะไม่นำหมูตายออกออกนอกพื้นที่ฟาร์มหมูโดยเด็ดขาด นอกจากนั้นเพื่อติดตามการปฏิบัติว่าเป็นไปตามมาตรการที่กำหนดไว้หรือไม่ ทางผู้ดูแลโครงการได้ติดตั้ง CCTV ไว้ 3 จุด บริเวณหน้าฟาร์ม ด้านหน้าห้องอาบน้ำ และภายในเล้าหมู เพื่อประโยชน์ในการเฝ้าระวังด้านการป้องกันโรคตลอด 24 ชั่วโมง และเพื่อความสะดวกในการติดตามสุขภาพหมูภายในโรงเรือนโดยสัตวแพทย์และสัตวบาล โดยไม่ต้องเข้าไปในโรงเรือนเพื่อป้องกันโรคการนำเชื้อโรคเข้าไปในฟาร์มหมู และป้องกันไม่ให้โรคปนเปื้อนไปกับผู้ปฏิบัติงานไปยังฟาร์มหมูอื่น ๆ ในส่วนการประเมินติดตามซึ่งเป็นสิ่งสำคัญ ทีมสัตวแพทย์ที่ดูแลได้กำหนดมาตรการให้ใหม่ทันทีเป็นกรณีพิเศษ เริ่มจากโปรแกรมตรวจหาโรค โดยหากพบหมูในเล้ามีอาหารผิดปกติ จะเก็บตัวอย่างเลือดหรือน้ำลายหมูเหล่านั้นเพื่อตรวจสอบโรคทันที โดยสัตวแพทย์หรือสัตวบาลที่รับผิดชอบ จากจากนี้ยังมีโปรแกรมตรวจประเมินติดตามอย่างใกล้ชิด โดยการเก็บตัวอย่างง่ายๆที่ทำได้โดยเกษตรกรหรือคนเลี้ยงประจำเล้า โดยการสวอปน้ำลายโดยใช้ผ้าก๊อซป้ายน้ำลายแม่สุกร​ 5 ตัว และป้ายพื้นเล้าคลอด 5 คอก​ ทุกสัปดาห์​ในช่วงเดือนที่แรกที่มีข่าวโรคระบาดรอบ ๆ ฟาร์ม และหลังจากนั้น​ เดือนที่สอง จะเก็บตัวอย่างแบบเดิมทุก 2 สัปดาห์ และในเดือนต่อมาจะเก็บตัวอย่างติดตามทุกเดือน หากไม่พบอาการผิดปกติสัตวแพทย์หรือสัตวบาลไม่ควรเข้าไปเก็บตัวอย่างด้วยตัวเอง เพราะอาจจะนำโรคเข้าฟาร์มหรือนำโรคจากฟาร์มที่เสี่ยงสูงแพร่ไปยังจุดอื่นได้ และก่อนหย่านมลูกสุกรก็จะเก็บตัวอย่างเพื่อส่งตรวจสอบ โดยเก็บตัวอย่างเลือดแม่สุกรเล้าคลอดจำนวน 15 ตัวอย่าง และสวอบเล้าคลอด 3 ตัวอย่าง โดยที่ผ่านมาทุกตัวอย่างให้ผลลบต่อการตรวจ และหมูในฟาร์มก็ยังมีสุขภาพที่ดีและปลอดจากโรค จนถึงปัจจุบันเป็นเวลามากกว่า 2 เดือน จากสถานการณ์ที่กล่าวมานี้ เป็นมาตรการการป้องกันโรคที่ได้ปฏิบัติจริง ในพื้นที่ที่มีความเสี่ยงสูงมาก แต่ฟาร์มหมูที่ปฏิบัติอย่างจริงจังก็สามารถรอดพ้นจากภัยพิบัติโรคร้ายแรงนี้มาได้ และฟาร์มที่กล่าวมานี้ก็เป็นเกษตรกรผู้เลียงหมู ถ้าสังเกตมาตรการที่กำหนดให้จะเป็นสิ่งที่ผู้เลี้ยงโดยทั่วไปทราบดีอยู่แล้ว ไม่ได้มีมาตรการอะไรแปลกใหม่เลย จุดสำคัญอยู่ที่การปฏิบัติอย่างจริงจังตามมาตรการเท่านั้นเอง สำหรับเกษตรกรที่เลี้ยงหมูแบบเล้าเปิด มาตรการข้างต้นอาจจะปฏิบัติไม่ได้ครบทุกข้อ โดยเฉพาะเรื่องสัตว์พาหะ แต่ก็ไม่แน่ว่า หากปฏิบัติข้ออื่น ๆ ให้ได้เต็มที่ ก็อาจจะรอดจากการติดโรคได้เหมือนกัน หรืออย่างน้อยก็อาจจะยืดระยะเวลาให้ได้นานเพียงพอที่จะขายหมูที่ยังปกติออกให้หมดก่อนที่โรคจะมาถึง ดังมาตรการที่ได้กล่าวไว้เมื่อตอนที่ 3  ที่ผ่านมา ทั้งหมดที่กล่าวมาถือเป็นตัวอย่างหรือแนวทางหนึ่งที่อาจจะนำไปปรับปรุงเพิ่มเติม ตามหน้างานของแต่ละฟาร์มได้ หวังว่าผู้เลี้ยงหมูทุกท่านคงพอได้แนวทางเพื่อนำไปป้องกันฟาร์มของท่านให้รอดพ้นจากภัยร้ายในครั้งนี้   น.สพ.ดำเนิน จตุรวิธวงศ์ รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส ด้านบริการวิชาการสุกร บริษัท ซีพีเอฟ ( ประเทศไทย) จำกัด ( มหาชน) อ่านบทความย้อนหลัง เรื่องรวมพลังต้านภัย ASF ได้ที่นี่เลยครับ   Home คู่มือการเลี้ยงสัตว์ ดาวน์โหลดฟรี

รวมพลังต้านภัย ASF ตอนที่ 4 : จะทำอย่างไรเมื่อโรคมาเคาะประตูบ้าน Read More »

การดูแลแม่ไก่ไข่ที่เลี้ยงในโรงเรือนเปิด ในช่วงอากาศร้อน

การดูแลแม่ไก่ไข่ที่เลี้ยงในโรงเรือนเปิด ในช่วงอากาศร้อน           ปัจจุบันการเลี้ยงไก่ไข่ของเกษตรกรในประเทศไทยส่วนใหญ่จะอยู่ภายในโรงเรือนปิด ที่เรียกว่า Evaporative Cooling System หรือที่นิยมเรียกกันว่า โรงเรือนอีแวป (Evap) ซึ่งทำให้แม่ไก่อยู่สบายมากขึ้นในช่วงที่อากาศภายนอกเล้า สูงกว่า 35 C ทำให้ผลกระทบเรื่องอากาศร้อนต่อการให้ผลผลิตของแม่ไก่น้อยกว่าแม่ไก่ที่เลี้ยงอยู่ในโรงเรือนเปิด ปกติแล้วอุณหภูมิที่เหมาะสมต่อความเป็นอยู่ของแม่ไก่ อยู่แล้วสบาย จะอยู่ในช่วงประมาณ 18-25 C นอกจากไก่เป็นสัตว์ที่ไม่มีต่อมเหงื่อคอยช่วยทำหน้าที่ระบายความร้อนเหมือนกับมนุษย์หรือสัตว์ประเภทอื่นแล้ว ขนที่ปกคลุมอยู่บนตัวไก่ก็เป็นอีกอุปสรรคหนึ่งในการระบายความร้อนของแม่ไก่ ดังนั้นเวลาที่อุณหภูมิภายในเล้าอยู่ที่ประมาณ 26-32 C แม่ไก่ก็จะกินอาหารได้ลดลง แต่จะกินน้ำเพิ่มขึ้น เพื่อลดความร้อนที่เกิดขึ้นภายในร่างกาย ถ้าอุณหภูมิในเล้าสูงเกิน 35 C แม่ไก่ก็จะแสดงอาหารหอบ กางปีก หมอบกับพื้นกรง เกิดภาวะเครียดจากความร้อน หรือที่เรียกว่า Heat Stress (ขบวนการทางฮอร์โมนในร่างกายเกิดการเปลี่ยนแปลง) แต่ถ้าอุณหภูมิในเล้าสูงเกินกว่า 39 C ก็จะมีผลทำให้แม่ไก่เริ่มทยอยตาย (ปกติอุณหภูมิร่างกายของไก่อยู่ที่ 41.2C) ผลของการเลี้ยงแม่ไก่ในเล้าที่มีอุณภูมิสูงหรือในสภาพอากาศร้อน 1.การให้ผลผลิตไข่ลดลง ขนาดฟองไข่เล็กลง คุณภาพเปลือกด้อยลง เนื่องจากแม่ไก่กินอาหารได้ลดลง ทำให้แม่ไก่ได้รับสารอาหารไม่เพียงพอต่อการสร้างไข่ 2.แม่ไก่จะแสดงอาการหอบ นอกจากแม่ไก่สูญเสียพลังงานไปกับการหอบเพื่อระบายความร้อนแล้ว การหอบยังมีผลทำให้แม่ไก่สูญเสีย CO2 ที่จะแม่ไก่จำเป็นต้องใช้ในขบวนการการสร้างไข่ ซึ่งส่งผลทำให้คุณภาพเปลือกไข่ด้อยลง เช่น เปลือกบางลง สีซีดลง เป็นต้น 3.มูลไก่จะมีลักษณะเหลวขึ้น เนื่องจากแม่ไก่ต้องกินน้ำเพิ่มขึ้น โดยปกติถ้าแม่ไก่อยู่ในเล้าที่อุณหภูมิอยู่ในช่วง 18-25C สัดส่วนการกินน้ำต่ออาหารของแม่ไก่จะอยู่ที่ 1.8-2.0 เท่าของอาหารที่กินได้ แต่ถ้าอากาศภายในเล้าร้อนขึ้น สัดส่วนการกินน้ำต่ออาหารอาจเพิ่มขึ้นเป็น >2.6 เท่าของอาหาร ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับอุณหภูมิที่แม่ไก่รู้สึก ณ เวลานั้นๆ 4.ตัวตายต่อวันจะเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับมาตรฐานการเลี้ยง ซึ่งการตายของแม่ไก่ที่มีสาเหตุจากอากาศร้อน จะพบว่าแม่ไก่มักจะตายเยอะในช่วงเวลาบ่าย ช่วงที่อากาศร้อนจัด และพบว่าแม่ไก่ที่ตัวอ้วนๆ จะตายมากกว่าตัวที่มีน้ำหนักตัวได้ตามมาตรฐาน หรือตัวที่ผอม และเมื่อผ่าซากดูจะพบวิการตับแตก เนื้อหน้าอกขาวซีด อุณหภูมิในช่องท้องค่อนข้างสูง แนวทางการจัดการเลี้ยงแม่ไก่ในโรงเรือนเปิด ในช่วงอากาศร้อน 1.ด้านโรงเรือน    1.1 ลดการแผ่ความร้อนจากหลังคาโรงเรือนมาสู่ตัวไก่ โดยการติดสปิงเกอร์บนหลังคาโรงเรือน การเปิดสปริงเกอร์ ควรเปิดก่อนที่อากาศภายนอกจะร้อนเพื่อลดการสะสมของความร้อนที่หลังคา เช่นเปิดสปริงเกอร์ตั้งแต่ เวลา 9:30 – 16:00 น. เป็นต้น หรือการทำหลังคาชั้นที่ 2 ด้วยหญ้าคา, ใบจาก ต่อจากหลังคาสังกะสีหรือกระเบื้อง    1.2 ติดตั้งพัดลมภายในเล้า เพื่อระบายอากาศร้อนออกจากตัวไก่และโรงเรือน    1.3 การติดตั้งระบบพ่นหมอกภายในโรงเรือนร่วมกับพัดลมระบายอากาศ    1.4 ติดตั้งผ้าม่านป้องกันแสงแดดส่องเข้าภายในเล้า หรือใช้การปลูกต้นไม้รอบๆโรงเรือน เช่น ต้นกล้วย แต่ทั้งนี้ผ้าม่านจะต้องไม่ไปปิดกันทิศทางลมธรรมชาติที่จะเข้าเล้า 2. ด้านน้ำและอาหาร    2.1 จัดเตรียมน้ำสะอาดที่มีอุณหภูมิ ประมาณ 20-25C ให้แม่ไก่ได้กินตลอดช่วงที่อากาศร้อน หรือเติมน้ำแข็งลงในถังพักน้ำเพื่อปรับลดอุณหภูมิของน้ำก่อนให้ไก่กิน    2.2 อย่าให้ถังพักน้ำหรือท่อน้ำที่ให้ไก่กินถูกแสงแดดส่อง เพราะจะทำให้อุณหภูมิของน้ำที่อยู่ภายในสูงขึ้น ทำให้ไก่กินน้ำลดลง    2.3 ผสมไวตามิน เช่น ไวติมิน C, A, E และ Bรวม หรือไวตามิน+กรดอะมิโน ในน้ำที่ให้ไก่กิน ซึ่งช่วงเวลาที่เหมาะสมในการให้ไวตามิน C คือ ช่วงเวลาก่อนที่อากาศจะเริ่มร้อน อาจจะเป็นช่วง 9:00 – 10:00 โมง (ขึ้นอยู่ในแต่พื้นที่) นอกจากนั้นการเสริมสารอิเล็คโตไลน์ในน้ำก็สามารถช่วยลดภาวะ Heat Stress ในแม่ไก่ลงได้    2.4 หลังจากให้น้ำที่ผสมไวตามินเลร็จเรียบร้อย ต้องคอยหมั่นทำความสะอาดรางน้ำหรือท่อนิปเปิล เพื่อป้องกันการสะสมของเมือกภายในรางน้ำหรือท่อน้ำกิน ซึ่งอาจจะทำให้เกิดปัญหาไก่ท้องเสียตามมาได้    2.5 ให้อาหารมื้อเช้าให้เร็วขึ้น อาจจะเป็นช่วงเวลา 5:00 – 6:00 โมง เป็นต้น ส่วนมื้อบ่ายก็ให้ในช่วงที่อากาศเริ่มเย็น เช่น เวลา 17:00 – 18:00 น. ร่วมกับการเปิดไฟช่วงเวลา 23:00 – 01:00 น.ให้ไก่ตื่นขึ้นมากินอาหารเพิ่มจากโปรแกรมแสงปกติ    2.6 ควรงดการกระตุ้นการกินอาหารหรือเดินเกลี่ยอาหารในรางในช่วงที่อากาศร้อน เช่น ช่วงเวลา 12:00 – 14:00 น. เพราะจะทำให้แม่ไก่เกิดการเคลื่อนไหว เกิดการสร้างความร้อนขึ้นมาได้    2.7 เลือกใช้อาหารที่มีความสมดุลของโปรตีนและพลังงานให้เหมาะสมต่อความต้องการของแม่ไก่ เพื่อลดการสูญเสียพลังงานในการขับสารอาหารส่วนเกินออกจากร่างกาย   CR :  ผู้เชี่ยวชาญด้านอาหารสัตว์ คุณสมเจต ทองนวล  

การดูแลแม่ไก่ไข่ที่เลี้ยงในโรงเรือนเปิด ในช่วงอากาศร้อน Read More »

CPF คำนึงถึงความปลอดภัยของแหล่งที่มาวัตถุดิบ ที่ไม่มาจากแหล่งที่มีความเสี่ยงปนเปื้อนเชื้อ ASF

CPF คำนึงถึงความปลอดภัยของแหล่งที่มาวัตถุดิบ ที่ไม่มาจากแหล่งที่มีความเสี่ยงปนเปื้อนเชื้อ ASF Read More »

ย้ำสุกรในไทยไม่เคยพบไวรัส G4 หรือไวรัสไข้หวัดสายพันธุ์ใหม่

ย้ำสุกรในไทยไม่เคยพบไวรัส G4 หรือไวรัสไข้หวัดสายพันธุ์ใหม่            สมาคมสัตวแพทย์ควบคุมฟาร์มสุกรไทย ชี้ไทยไม่เคยพบเชื้อไวรัส G4 ไข้หวัดสายพันธุ์ใหม่จีน ย้ำไม่ต้องกังวล ผู้บริโภคต้องสังเกตสัญลักษณ์ ปศุสัตว์ OK ก่อนซื้อ วันที่ 14 มกราคม 2564 ผศ.น.สพ.ดร.สุเจตน์ ชื่นชม นายกสมาคมสัตวแพทย์ควบคุมฟาร์มสุกรไทย เปิดเผยว่า จากกรณีข่าวการเฝ้าระวังเชื้อไวรัส G4 หรือไวรัสไข้หวัดสายพันธุ์ใหม่ (G4 Eurasian Avian-like H1N1 Viruses) ที่เกิดการแพร่ระบาดครั้งแรกในหมูของประเทศจีนตั้งแต่ปี 2559 ซึ่งมีการศึกษาพบว่าเชื้อนี้มีความเกี่ยวข้องเชื่อมโยงกันกับไวรัสไข้หวัดใหญ่ H1N1 ที่เคยระบาดเมื่อปี 2552 โดยตลอด 5 ปีที่ผ่านมานับตั้งแต่พบเชื้อไวรัส G4 จนถึงปัจจุบันยังไม่พบการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส G4 ในประเทศไทย และยังไม่มีรายงานการระบาดจากคนสู่คน จึงยังไม่น่าเป็นกังวลต่อการระบาดของโรคดังกล่าว นอกจากนี้ ยังชี้แจงเกี่ยวกับกรณีที่เมื่อพบโรคไข้หวัดใหญ่ H1N1 มักถูกเรียกว่าโรคไข้หวัดหมูนั้น ความจริงแล้วไม่มีความเกี่ยวข้องกับหมู แต่เป็นการเรียกติดปากจากการระบาดของไข้หวัดสายพันธุ์ H1N1 ที่เคยระบาดเมื่อปี 2009 ซึ่งมีชื่อเรียกในช่วงนั้นว่า โรคไข้หวัดหมู หรือ ไข้หวัด 2009 ต่อมาองค์การอนามัยโลกได้เปลี่ยนชื่อเรียกที่ถูกต้เองเป็น โรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ชนิด A (H1N1) เกิดจากการผสมผสานของไวรัสสายพันธุ์ของคน หมู และนก แต่ไม่เป็นที่ปรากฏชัดว่า เชื้อนี้เริ่มติดในคนเป็นครั้งแรกตั้งแต่เมื่อไร แต่เมื่อมีการระบาดแล้วกลับเป็นการแพร่กระจายและติดต่อจากคนสู่คน ไม่ได้พบในหมูทั่วไป จึงไม่ติดต่อโดยการสัมผัสหรือกินเนื้อหมูแต่อย่างใด ขอทำความเข้าใจว่าไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ ไม่ใช่ไข้หวัดหมู เพราะการสื่อสารเช่นนั้นอาจทำให้คนเข้าใจผิด และเกิดความกังวลในการบริโภคได้ ที่สำคัญเชื้อไวรัส G4 ที่พบในจีนเมื่อ 5 ปีก่อน ก็ไม่เคยพบในไทย และไม่มีการแพร่เชื้อหรือติดต่อแต่อย่างใด ส่วนการบริโภคอาหารอย่างปลอดภัย ผู้บริโภคควรให้ความสำคัญในการเลือกซื้อเนื้อหมูจากแหล่งที่มีมาตรฐานและเชื่อถือได้ สังเกตสัญลักษณ์ “ปศุสัตว์ OK” ทีกรมปศุสัตว์รับรองให้กับร้านจำหน่ายที่มีมาตรฐาน ที่สำคัญต้องรับประทานอาหารปรุงสุกเท่านั้น ซึ่งจะเป็นการป้องกันสุขภาพร่างกายได้เป็นอย่างดี ส่วนการป้องกันตนเองจากไข้หวัด ประชาชนสามารถเข้ารับการฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ รวมไปถึงรักษาสุขอนามัยด้วยการล้างหรือทำความสะอาดมือให้สะอาด สวมหน้ากากอนามัย หากจำเป็นจะต้องใกล้ชิดกับสัตว์ควรป้องกันตนเองจากการสัมผัสเชื้อโรคต่างๆ” ผศ.น.สพ.ดร.สุเจตน์ กล่าว   Cr. ประชาชาติธุรกิจ

ย้ำสุกรในไทยไม่เคยพบไวรัส G4 หรือไวรัสไข้หวัดสายพันธุ์ใหม่ Read More »

รวมพลังต้านภัย ASF

รวมพลังต้านภัย ASF ตอนที่ 3 : ถ้าโรคไปไกลจะใช้แนวทางใหนดี

รวมพลังต้านภัย ASF ตอนที่ 3 : ถ้าโรคไปไกลจะใช้แนวทางใหนดี จากบทความแรกจนมาถึงบทความตอนที่ 3 ผู้เขียนหวังว่าผู้ประกอบการฟาร์มหมู ทั้งรายย่อย รายกลาง และรายใหญ่ คงพอได้แนวทางในการป้องกันและควบคุมโรค ASF พอสมควร และหวังว่าท่านยังคงรอดพ้นจากภัย ASF อยู่ได้  สำหรับบทความตอนนี้เป็นการคาดการณ์ความเป็นไปของโรค ASF ในภายภาคหน้าซึ่งแม้ไม่ต้องการจะให้เกิดขึ้นจริง แต่ก็อยากให้ทุกท่านเตรียมใจและเตรียมการณ์ไว้ก่อนเพราะความไม่แน่นอนย่อมเกิดขึ้นได้เสมอ กรณีที่ว่านั้นก็คือถ้าประเทศไทยไม่สามารถหยุดยั้งโรค ASF เอาไว้ได้ และโรคมีการแพร่กระจายไปทั่วทุกพื้นที่ของประเทศ ณ เวลานั้น เราจะมีแนวทางการบริหารจัดการอย่างไรได้บ้างตามหลักวิชาการ  เพื่อลดความเสียหายจากโรคให้น้อยที่สุด ทั้งในด้านงบประมาณในการป้องกันและควบคุมโรค การลดการสูญเสียจากการตายของหมูที่ป่วยเป็นโรค  การป้องกันและควบคุมไม่ให้เชื้อโรคแพร่ออกไปอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการฟื้นฟูให้ฟาร์มหมูสามารถกลับมาเลี้ยงหมูอีกครั้งได้อย่างปลอดภัย ในทางทฤษฏีการควบคุมโรค  ทำได้ค่อนข้างง่าย โดยอาศัยหลักการ รู้เร็ว จัดการเร็ว โรคจะจบเร็ว โดยการรู้เร็วหมายถึงการตรวจพบโรคให้ได้เร็วที่สุดตั้งแต่มีโรคระบาดในพื้นที่  จัดการเร็วหมายถึงการทำลายหมูป่วยเป็นโรค และการสืบสวนโรคหาหมูที่มีความเสี่ยงว่าจะสัมผัสโรคแล้วทำลายด้วยการฝังหรือเผา  เพื่อไม่ปล่อยให้หมูหรือผลิตภัณฑ์จากเนื้อหมูที่มีความเสี่ยงหลุดรอดการตรวจสอบออกไปแพร่เชื้อโรคต่อได้ ซึ่งหากทำครบ 2 ประเด็นหลักที่กล่าวมา โรคก็จะจบได้อย่างรวดเร็ว ในบทความนี้ผู้เขียนขอใช้ประสบการณ์จากการทำงานด้านการป้องกันและควบคุมโรค และข้อมูลทางวิชาการ รวมถึงการระบาดของโรค ASF ในประเทศต่างๆ เพื่อสรุปเป็นทางเลือกสำหรับการควบคุมโรค ASF ของประเทศไทย ในกรณีที่โรคแพร่ระบาดมากขึ้นทั้งในส่วนผู้เลี้ยงหมูรายย่อย รายกลางและรายใหญ่ ซึ่งทางเลือกที่ผู้เขียนจะนำเสนอต่อไปนี้ สามารถใช้ควบคุมโรคต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นโรค อหิวาต์สุกร และ พี อาร์ อาร์ เอส  สำเร็จมาแล้ว เพียงครั้งนี้ต้องเอามาปรับใช้ให้สอดคล้องตามลักษณะของโรค โมเดลที่ 1 การทำลายหมูทั้งหมดในฟาร์มที่เกิดโรคและฟาร์มรอบๆ ที่มีความเสี่ยงในการเกิดโรคหรือ Stamping Out โมเดลนี้ในทางทฤษฏีถือว่ามีประสิทธิภาพสูงสุดในการควบคุมการแพร่กระจายของโรคระบาดรุนแรงรวมทั้งโรค ASF การควบคุมการระบาดของโรคในช่วงแรกของทุกประเทศที่การระบาดของโรคยังไม่มากมักใช้โมเดลนี้ในการควบคุมโรค วิธีการคือเมื่อตรวจพบหมูเป็นโรคในฟาร์มใดฟาร์มหนึ่งจะขีดวงเป็นรัศมีเพื่อทำลายหมูในพื้นที่รอบจุดเกิดโรค โดยจะทำลายหมูทั้งหมดในฟาร์มที่พบโรคด้วยวิธีการฝังหรือเผาแบบ Total depopulation เพื่อตัดวงจรการแพร่โรค รวมถึงการทำลายหมูในรัศมี 1 , 3 และ 5 กิโลเมตรรอบฟาร์ม ทั้งนี้ขึ้นกับข้อกำหนดของประเทศนั้นๆ รวมถึงการห้ามจำหน่ายหมูมีชีวิตในเขตพื้นที่ระบาดเข้าโรงชำแหละด้วย โดยความสำเร็จของโมเดลนี้มักจะไปเกี่ยวข้องกับการจ่ายเงินชดเชย การทำลายหมูที่ป่วยเป็นโรค และหมูที่มีความเสี่ยงจะติดโรคให้กับผู้เลี้ยงหมูด้วยเสมอ หากจ่ายเงินชดเชยต่ำกว่ามูลค่าหมูจริงของหมูมากๆ ผู้เลี้ยงหมูก็มักแอบลักลอบขายหมูป่วยหรือหมูที่ต้องสงสัยว่าป่วยออกไปก่อนที่ผู้มีอำนาจจะเข้าไปตรวจสอบและยืนยันการติดโรค เลยทำให้ในหลายประเทศไม่ประสบความสำเร็จในการควบคุมโรคด้วยวิธีนี้  อีกทั้งการสืนสวนโรคในฟาร์มหมูเพื่อหาความเชื่อมโยงและความเสี่ยง ก็มักไม่ได้ข้อมูลที่ชัดเจนเพียงพอ และมักไม่ทันต่อเหตุการณ์ ทำให้โรคลุกลามไปในวงกว้าง โมเดลที่ 2  ตัดไฟแต่ต้นลม  โมเดลนี้อาศัยหลักคิดที่เรียกว่า “ป้องกันไว้ก่อน” โดยอาศัยประสบการณ์เดิมว่าอะไรกำลังจะเกิดขึ้นแล้ววางแผนป้องกันไว้ก่อน เช่นเดียวกับกรณีพอทราบว่าไฟเริ่มไหม้พื้นที่ป่า เราก็ทำแนวกันไฟ เพื่อไม่ให้ไฟลุกลามต่อไปใด้ ไฟป่าก็จะดับไปเองในที่สุดเพราะไม่มีตัวต่อเชื้อไฟ กรณีโรค ASF ก็เช่นเดียวกัน ทุกท่านคงทราบดีแล้วกว่าโรคนี้มักจะระบาดในฟาร์มผู้เลี้ยงหมูรายย่อยหรือกลุ่มฟาร์มที่ไม่มีระบบป้องกันโรคที่ดีพอก่อนเสมอ ดังนั้นหากเรามีข้อมูลด้านการระบาดอย่างเพียงพอจนสามารถประมาณการได้ว่าพื้นที่ใดโรค กำลังระบาดมาถึง เราจะไม่ปล่อยให้ผู้เลี้ยงหมูเหล่านั้นต้องเผชิญกับโรคเพียงลำพังและหมูในฟาร์มเป็นโรคตายทั้งหมด แล้วรอรับเงินชดเชยจากภาครัฐหรือหน่วยงานที่ให้การสนับสนุนอื่นๆ  เพื่อขอเข้าทำลายหมู ด้วยโมเดลตัดไฟแต่ต้นลม สิ่งที่ผู้เกี่ยวข้องกับธุรกิจหมูรวมทั้งเจ้าหน้าที่ของกรมปศุสัตว์และผู้ประกอบการในธุรกิจหมูทั้งหมด สามารถร่วมมือกันทำได้ โดยการใช้เงินกองทุนชดเชยโรคระบาดหรือเงินจากการระดมทุนเฉพาะกาล รับซื้อหมูของผู้เลี้ยงหมูรายย่อยในพื้นที่รัศมี 10-20 กิโลเมตรจากจุดที่พบว่ามีการระบาดของโรค และต้องเป็นฟาร์มที่ไม่มีความเชื่อมโยงกับจุดเกิดโรค โดยมีเงื่อนไขรับซื้อหมูในราคาตลาดเฉพาะหมูที่ผ่านการตรวจยืนยันว่าปลอดจากโรค ASF แล้วเท่านั้น และส่งเข้าโรงชำแหละที่กำหนดให้เพื่อตรวจติดตามสถานะปลอดโรค ส่วนกรณีหมูแม่พันธุ์และหมูที่ยังขายขุนไม่ได้ จะพิจารณาชดเชยเป็นรายได้ที่เหมาะสมให้กับผู้เลี้ยง โดยเกษตรกรที่ยินดีเข้าร่วมโครงการตัดไฟแต่ต้นลมจะได้รับเงินจากการขายหมูตามราคาตลาดและเงินชดเชยจากหมูที่ไม่สามารถขายเข้าโรงชำแหละได้      และหลังจากในพื้นที่นั้นภาวะโรคระบาดสงบลงแล้วหรือไม่มีโรคเกิดขึ้นภายใน 60 วัน ผู้เลี้ยงหมูรายย่อยก็สามารถนำหมูชุดใหม่เข้าเลี้ยงได้ ตามการประเมินของเจ้าหน้าที่ปศุตว์ในแต่ละพื้นที่ เพราะฟาร์มของเขาเหล่านั้นยังไม่เคยมีโรคระบาด ASF มาก่อน ซึ่งโมเดลนี้จะต่างจากโมเดลแรกที่จะต้องให้ผู้เลี้ยงหมูหยุดการเลี้ยงหมูเป็นเวลานานกว่า เพราะในฟาร์มเคยมีโรคเกิดขึ้นแล้ว โดยโมเดลนี้ ภาครัฐหรือกองทุนที่สนับสนุนการป้องกันโรคจะได้ประโยชน์จาการที่ไม่ต้องใช้เงินจำนวนมาก เพื่อชดเชยการทำลายหมูที่ป่วยและตายโดยไม่มีรายได้กลับคืนมา ผู้ประกอบการเลี้ยงหมูรายอื่นๆ ก็จะไม่มีความเสี่ยงจากโรคในพื้นที่ตนเอง และที่สำคัญผู้เลี้ยงหมูรายย่อยก็ยังพอมีรายได้จากการขายหมูเพื่อทำทุนเลี้ยงหมูต่อเมื่อภาวะโรคในพื้นที่นั้นสงบลง และที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้น การระบาดของโรคก็มีแนวโน้มจะช้าลง เนื่องจากไม่มีหมูกลุ่มที่มีความเสี่ยงโรคมารับเชื้อและแพร่เชื้อต่อไป ผู้เขียนเชื่อมันว่าหากมีการสรุปแนวทางการดำเนินงานที่ชัดเจน โมเดลตัดไฟแต่ต้นลม จะเป็นโมเดลที่น่าสนใจ ที่จะช่วยลดความสูญเสียในการดำเนินธุรกิจฟาร์มเลี้ยงหมูลงได้มาก  แต่จะต้องได้รับความร่วมจากทุกภาคส่วน และต้องอาศัยพื้นฐานความเข้าใจเกี่ยวกับโรค ASF อย่างลึกซึ้ง อย่างไรก็ตามโมเดลนี้อาจมีความสุ่มเสี่ยงต่อการเข้าใจผิดว่า เป็นความพยายามของผู้เลี้ยงหมูรายกลางและรายใหญ่ที่จะมุ่งการทำลายผู้เลี้ยงหมูรายย่อย ดั้งนั้นก่อนดำเนินการควรชี้แจงและทำความเข้าใจกันให้ชัดเจน เพื่อให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์คือการช่วยเหลือผู้เลี้ยงหมูรายย่อยก่อนที่โรคระบาดจะแพร่มาถึง โมเดลที่ 3 การทำลายหมูบางส่วนเพื่อป้องกันไม่ให้หมูที่เหลือในฟาร์มติดเชื้อหรือ Partial Depopulation โมเดลนี้ น่าจะเป็นทางเลือกเฉพาะฟาร์มหมูรายย่อย รายกลาง และรายใหญ่ที่มีความพร้อมสูงมากด้านระบบการป้องกันและควบคุมโรค และเข้าใจการระบาดของโรคเป็นอย่างดี และต้องมีความพร้อมด้านการตรวจโรคทางห้องปฏิบัติการ และที่สำคัญควรได้รับความเห็นชอบจากเจ้าหน้าที่ปศุสัตว์ในพื้นที่นั้นๆ โดยในระหว่างประเมินความสำเร็จของโครงการ ผู้เลี้ยงหมูจะสามารถส่งหมูขุนเข้าโรงชำแหละของตนเองเท่านั้น และต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขของเจ้าหน้าที่กรมปศุสัตว์ และจะต้องแสดงผลการตรวจว่าหมูในเล้านั้นปลอดจากการติดเชื้อภายใน 15 วันก่อนการเคลื่อนย้ายหมูเข้าโรงชำแหละ และต้องตรวจสอบการติดโรคอีกครั้งที่โรงชำแหละ หรือกรณีที่ต้องการย้ายหมูออกจากฟาร์มจะทำได้เฉพาะเล้าที่ผ่านการตรวจสอบว่าภายในรอบ 15 วันก่อนการเคลื่อนย้ายไม่พบการติดเชื้อ และต้องย้ายไปเลี้ยงต่อในพื้นที่ที่ไม่มีเล้าหมูอื่นๆ ในรัศมี 5 กิโลเมตร หลังจากลงเลี้ยงต้องตรวจสอบการติดเชื้อต่ออีกอย่างน้อย 30-45 วัน ปัจจัยสู่ความสำเร็จของโมเดลนี้ คือการทราบให้เร็วที่สุดว่าหมูในฟาร์มติดโรค และในฟาร์มมีการบริหารจัดการฟาร์มที่เอื้อต่อความสำเร็จในการควบคุมการแพร่กระจายโรค เช่น  มีเล้ากักโรคสำหรับรับสุกรทดแทน พนักงานพร้อมปฏิบัติตามคำแนะนำการป้องกันโรค มีขั้นตอนการปฏิบัติงานที่ชัดเจนและตรวจสอบได้ ในแต่ละเล้าต้องแยกพนักงานเลี้ยงกันอย่างชัดเจน ไม่ใช้อุปกรณ์การฉีดวัคซีนร่วมกันในแต่ละเล้า  ระบบการให้น้ำและอาหารเป็นแบบรายตัว คอกเลี้ยงหมูขนาดไม่ใหญ่เกินไป มีการป้องกันสัตว์พาหะอย่างจริงจัง และมีมุ้งป้องกันแมลงวัน เป็นต้น โดยหลักการทำ Partial Depopulation ก็คือทำลายสุกรบางส่วนในฟาร์ม ทั้งนี้อาจเป็นรายตัว รายคอก รายเล้า หรือหลายๆ เล้า ทั้งนี้ขึ้นกับระยะเวลาที่ตรวจพบหมูป่วย และความเชื่อมโยงของหมูที่ป่วยกับหมูกลุ่มอื่น ๆ ในฟาร์ม  หากพบโรคได้เร็วและโรคยังไม่แพร่กระจายไปมากในฟาร์ม ความสำเร็จก็ยังพอมี แต่หากโรคแพร่กระจายไปมาก แนะนำให้ใช้โมเดลแรกคือการทำลายหมูทั้งหมดในฟาร์มจะได้ผลดีกว่า การตัดสินในว่าจะดำเนินการใช้โมเดล Partial Depopulation หรือไม่นั้น ต้องอาศัยข้อมูลด้านระบาดของโรค การตรวจสอบยืนยันการติดเชื้อโรคในฟาร์มด้วยผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการ และการสืบสวนหาความเชื่อมโยงของการบริหารจัดการภายในฟาร์ม ซึ่งต้องประเมินโดยผู้ที่เชี่ยวชาญและที่สำคัญอย่างยิ่งคือการตรวจติดตามสถานะฝูงหรือ Monitoring program ต้องพร้อมสามารถตรวจติดตามการแพร่กระจายโรคได้อย่างทันท่วงที และหลังจากสรุปว่าจะใช้โมเดล Partial Depopulation ควรประชุมผู้เกี่ยวข้องทั้งหมดในฟาร์ม มีการเขียนข้อกำหนดในการปฏิบัติของผู้เกี่ยวข้องในฟาร์มทุกอย่างชัดเจน รวมถึงการติดตามผลการดำเนินงานแบบรายวัน รายสัปดาห์ และการประเมินความสำเร็จของการใช้โมเดลนี้ จากที่กล่าวมานั้นเป็นแนวทางในการควบคุมโรค ที่มีความเป็นไปได้มากที่สุดใน 3 โมเดล หากดำเนินการตามหลักวิชาการที่ถูกต้อง ด้วยหลักการ PDCA ตั้งแต่ Plan หรือมีการวางแผนที่ดี Do คือการปฏิบัติตามแผนอย่างเคร่งครัด Check คือการตรวจสอบอยู่เสมอว่าจะมีอะไรที่อาจผิดพลาดไม่เป็นตามแผนที่วางไว้ และสุดท้าย Act คือการปรับปรุงอย่างต่อเนื่องในกรณีที่พบความผิดพลาดเกิดขึ้นในการดำเนินงาน ผู้เขียนหวังว่าแนวทางที่นำเสนอมาคงพอใช้เป็นทางเลือกสำหรับผู้ประกอบการเลี้ยงหมู และผู้เกี่ยวข้องในธุรกิจฟาร์มหมูที่จะใช้เพื่อการควบคุมโรค ASF   เพื่อช่วยลดความสูญเสียจากโรคระบาด และทำให้ธุรกิจเลี้ยงหมูยังคงดำเนินการต่อไปได้อย่างยั่งยืน และท้ายสุดผู้บริโภคในประเทศจะได้มีเนื้อหมูบริโภคอย่างเพียงพอในราคาที่เหมาะสม น.สพ.ดำเนิน จตุรวิธวงศ์ รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส ด้านบริการวิชาการสุกร บริษัท ซีพีเอฟ ( ประเทศไทย) จำกัด ( มหาชน) อ่านบทความย้อนหลัง เรื่องรวมพลังต้านภัย ASF ได้ที่นี่เลยครับ   Home คู่มือการเลี้ยงสัตว์ ดาวน์โหลดฟรี

รวมพลังต้านภัย ASF ตอนที่ 3 : ถ้าโรคไปไกลจะใช้แนวทางใหนดี Read More »

เว็บไซต์นี้มีการจัดเก็บคุกกี้เพื่อมอบประสบการณ์การใช้งานเว็บไซต์ให้แก่ท่านได้ดียิ่งขึ้น รวมถึงทำให้สามารถมอบข้อเสนอ กิจกรรมส่งเสริมการขาย เลือกเนื้อหาให้เหมาะสมแก่ท่านอย่างเป็นส่วนตัวได้ การเก็บและใช้งานคุกกี้สามารถศึกษาได้ที่นโยบายการใช้คุกกี้นี้ การใช้งานเว็บไซต์นี้จะมีการจัดเก็บคุกกี้ประเภทต่าง ๆ ซึ่งท่านต้องยอมรับและยินยอมให้บริษัทฯ จัดเก็บ. (เรียนรู้เพิ่มเติม)