Logo-CPF-small-65png

cpffeed

Farm Talk คุยเฟื้องเรื่องฟาร์ม EP.21 l รู้ทันเร็ว ป้องกันไว กำจัดสัตว์พาหะอย่างถูกวิธี

Farm Talk คุยเฟื้องเรื่องฟาร์ม EP.21 l รู้ทันเร็ว ป้องกันไว กำจัดสัตว์พาหะอย่างถูกวิธี Read More »

ถุงน้ำในรังไข่ ปัญหาใหญ่ชาววัวนม

ขอนำเกษตรกรทุกท่านมารู้จักกับปัญหา “ถุงน้ำในรังไข่” เพราะ “ปัญหาการผสมไม่ติด”ถือเป็น 1 ใน 3 ปัญหาหลักสำหรับเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนม นอกเหนือไปจาก..ปัญหาเต้านมอักเสบ..และ..ปัญหาเรื่องกีบ.. ปัญหาถุงน้ำในรังไข่ดังกล่าว ก็เป็นหนึ่งในสาเหตุของปัญหาผสมไม่ติด ซึ่งอาการที่วัวแสดงออกนั้น อาจจะเป็น 1) การเป็นสัดถี่หรือเป็นสัดไม่ตรงรอบ (ประมาณ 20-30%) ซึ่งหากเป็นอาการแบบแรกเกษตรกรจะสังเกตเห็นเอง ตามหมอมาล้วงตรวจรังไข่ และทำการรักษาต่อไป 2) ไม่แสดงการเป็นสัดให้เห็น (ประมาณ 70-80%) แต่ถ้าเป็นแบบนี้ เกษตรกรอาจจะรู้ตัวช้าและเข้าใจว่าเกิดการจับสัดพลาดและปล่อยผ่านไปซึ่งนั่นจะทำให้เกิด..วัวกินอาหารฟรี..ภายในฟาร์ม ซึ่งเกษตรกรจะต้องแบกรับต้นทุนค่าอาหารมากขึ้นนั่นเอง เรื่องนี้ยิ่งรู้ช้ายิ่งขาดทุน! ถุงน้ำในรังไข่คืออะไร ??? สัตว์แสดงอาการอย่างไร ??? ถุงน้ำในรังไข่ คือถุงน้ำซึ่งเกิดขึ้นบนรังไข่ “ มีขนาดใหญ่กว่า 25 มิลลิเมตร ” (ไข่ก่อนการตกไข่ ปกติขนาดประมาณ 15-25 มิลลิเมตร) และมีการคงค้างมากกว่า 10 วัน มักเกิดหลังคลอด ซึ่งเรามักจะมองว่าเป็นปัญหา เมื่อไม่เห็นการเป็นสัดนานกว่า 6 อาทิตย์หลังคลอด หรือแสดงการเป็นสัดถี่ไม่ตรงรอบชัดเจน โดยปกติถุงน้ำนี้จะมีสองประเภท คือ 1) ถุงน้ำผนังบาง หรือ “ซีสต์น้ำ” สัตว์อาจแสดงอาการเป็นสัดถี่ หรือไม่แสดงอาการเป็นสัดก็ได้ 2) ถุงน้ำผนังหนา หรือ “ซีสต์เนื้อ” สัตว์มักไม่แสดงอาการเป็นสัด ทั้งนี้การแยกประเภทของถุงน้ำสามารถยืนยันได้ด้วยเครื่องอัลตราซาวด์ แต่หากไม่มีใช้ในพื้นที่ก็จำเป็นต้องใช้ความชำนาญของผู้ตรวจสอบโดยการคลำรังไข่ผ่านทางทวาร เกิดในวัวได้อย่างไร ???         สาเหตุของถุงน้ำในรังไข่ยังคงไม่เป็นที่เข้าใจดี แต่พบว่าสามารถส่งต่อทางพันธุกรรมได้, มักพบปัญหาในแม่วัวให้นมมาก, เป็นในแม่วัวหลายท้อง, หรือแม่โคได้รับสารพิษจากเชื้อรา ที่ปนเปื้อนมากับอาหาร (ส่งผลกระทบต่อการทำงานของระบบฮอร์โมนที่เกี่ยวกับระบบสืบพันธุ์), แม่วัวที่มีภาวะขาดพลังงานหลังคลอด, แม่วัวที่มีภาวะคลอดยากและเกิดมีโรคหลังคลอดอื่นๆตามมา การแก้ไขปัญหาและการป้องกัน ปัญหาถุงน้ำในรังไข่ที่พบ โดยปกติร่างกายแม่วัวจะปรับสมดุลย์ของฮอร์โมนและทำให้ถุงน้ำที่เกิดนั้นฝ่อสลายไปได้โดยเราไม่ต้องทำอะไร  โดยเฉพาะหากเราพบปัญหาก่อนการตกไข่ครั้งแรก ประมาณ 60% ถุงน้ำนั้นจะฝ่อสลายเอง แต่หากเราพบปัญหาหลังการตกไข่ ครั้งที่  2, 3, หรือต่อๆไป โอกาสที่ถุงน้ำนั้นจะฝ่อสลายเองมีเพียง 20% จึงจำเป็นต้องอาศัยการรักษาด้วยการใช้ฮอร์โมน..  โดยใช้ฮอร์โมน GnRH (ชื่อการค้า : เฟอร์ตากิล) แล้วตามด้วยฮอร์โมน PGF2α (ชื่อการค้า : ลูทาไลท์ ,เอสตรูเมท) ใน 10 – 14 วัน ภายหลังฮอร์โมน GnRH ก่อนการใช้ฮอร์โมน สัตว์ควรได้รับการตรวจจากสัตวแพทย์ก่อน เพราะหากวินิจฉัยแยกชนิดของถุงน้ำที่พบได้ จะประหยัดค่าฮอร์โมนที่ใช้ (ใช้เพียงตัวใดตัวหนึ่ง) และเป็นการตรวจสุขภาพอื่นๆยืนยันว่าแม่วัวไม่มีโรคอื่นแทรกซ้อน      ระวัง “วิธีการบีบให้แตก”.!!!..ปัจจุบันไม่นิยมให้ทำการบีบให้แตกโดยการล้วงผ่านทางทวารหนักเพราะมีความเสี่ยงที่จะก่อให้เกิดเลือดออก มีรอยแผลบนรังไข่ อาจส่งผลทำให้การเจริญหรือการตกไข่ในวงรอบต่อไปไม่สมบูรณ์และเนื่องจากสาเหตุของโรคยังไม่เป็นที่ทราบแน่ชัด ดังนั้นการจัดการอาหารที่ถูกต้องให้มีความสมดุลทั้งในแง่ของพลังงาน โปรตีนและแร่ธาตุตามปริมาณการให้น้ำนมเป็นปัจจัยพื้นฐานที่สำคัญซึ่งจะส่งผลต่อสุขภาพของแม่วัว  ตลอดจนการป้องกันการเกิดโรคหลังคลอดต่างๆ ก็จะทำให้ลดปัจจัยเสี่ยงในการเกิดโรค นอกจากนี้การจับสัดที่ดี มีโปรแกรมการล้วงตรวจระบบสืบพันธุ์เป็นประจำ เช่น ล้วงตรวจมดลูกหลังคลอด 30 วัน, ล้วงตรวจวัวที่ไม่เห็นการเป็นสัดใน 60 วันหลังคลอด ก็จะช่วยให้สามารถระบุปัญหาต่างๆได้ไว ยิ่งขึ้นด้วย

ถุงน้ำในรังไข่ ปัญหาใหญ่ชาววัวนม Read More »

Farm Talk คุยเฟื้องเรื่องฟาร์ม EP.19 l ลดความเสี่ยง เลี่ยงอุบัติภัย ระบบไฟฟ้าปลอดภัยไม่ใช่เรื่องยาก

Farm Talk คุยเฟื้องเรื่องฟาร์ม EP.19 l ลดความเสี่ยง เลี่ยงอุบัติภัย ระบบไฟฟ้าปลอดภัยไม่ใช่เรื่องยาก Read More »

ซีพีเอฟ จับมือ อ.ส.ค. เดินหน้าโครงการสี่ประสานสร้างความยั่งยืนโคนมไทย

ซีพีเอฟ จับมือ อ.ส.ค. เดินหน้าโครงการสี่ประสานสร้างความยั่งยืนโคนมไทยบริษัท ซีพีเอฟ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ร่วมกับ องค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย (อ.ส.ค.) ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) การพัฒนาผู้เลี้ยงโคนมไทย “โครงการสี่ประสาน สร้างความยั่งยืนโคนมไทย” มุ่งเป้าพัฒนาฟาร์มต้นน้ำโคนมไทย พร้อมส่งต่อองค์ความรู้ให้กับทั้งสหกรณ์โคนม-ศูนย์รวบรวมน้ำนมดิบ และเกษตรกรโคนม ดันมาตรฐานการจัดการโคนม ได้น้ำนมคุณภาพสูง สร้างผลกำไรสูงสุด เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตเกษตรกรโคนมสู่ความสำเร็จที่ยั่งยืน​นายสุชาติ จริยาเลิศศักดิ์ รองผู้อำนวยการ ทำการแทนผู้อำนวยการ องค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย (อ.ส.ค.) เปิดเผยว่า อ.ส.ค. มีภารกิจที่ต้องการยกระดับความสามารถเกษตรกรโคนมไทยให้ดำรงอาชีพอย่างมั่นคงและยั่งยืน ดังนั้นการที่มีภาคเอกชนมาร่วมมือเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย จึงเป็นเรื่องน่ายินดี โดยเฉพาะความร่วมมือจาก ซีพีเอฟ ที่เป็นผู้นำด้านเกษตรอุตสาหกรรมและอาหาร ที่มุ่งพัฒนาอาหารสัตว์บกคุณภาพสูงเพื่อเกษตรกรมาโดยตลอด ขณะที่ อ.ส.ค. เป็นผู้นำด้านการส่งเสริมอาชีพการเลี้ยงโคนม เป็นผู้รับซื้อและจำหน่ายผลิตภัณฑ์นมคุณภาพ การผนึกกำลังอย่างเข้มแข็งทำให้มีผลลัพธ์ของการดำเนินโครงการที่น่าพอใจ“โครงการนี้ ถือเป็นก้าวสำคัญของความร่วมมือที่จะส่งผลดีต่อเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนม และอุตสาหกรรมนมไทย โดยที่ผ่านมามี 5 ศูนย์รวบรวมน้ำนมดิบ ที่ได้ร่วมมือกับซีพีเอฟในการพัฒนาตลอดกระบวนการผลิตน้ำนมให้มีมาตรฐาน ส่งผลให้ตัวชี้วัดด้านคุณภาพและประสิทธิภาพมีค่าเฉลี่ยที่ดีขึ้น ทั้งค่าองค์ประกอบน้ำนม ผลผลิต ประสิทธิภาพการเลี้ยงโคนม รวมถึงด้านความสะอาดของน้ำนม และตั้งเป้าว่าต้องมีค่าโซมาติกเซลล์ (ค่า SCC) ไม่เกิน 500,000 เซลล์ต่อมิลลิลิตร ตามเกณฑ์การรับซื้อน้ำนมดิบตามข้อกำหนดของคณะกรรมการโคนมและผลิตภัณฑ์นม” นายสุชาติ กล่าวด้าน นายเรวัติ หทัยสัตยพงศ์ รองกรรมการผู้จัดการบริหาร ธุรกิจอาหารสัตว์บก ซีพีเอฟ กล่าวว่า บริษัทมีองค์ความรู้ด้านการเลี้ยงและการจัดการโคนมมานานกว่า 30 ปี โดยมีฟาร์มวิจัยและพัฒนาด้านโคนมของซีพีเอฟทั้ง 4 แห่งทั่วประเทศ ที่มีความพร้อมด้านทรัพยากรคน เครื่องมือ และเทคโนโลยีทันสมัย ที่ช่วยยกระดับมาตรฐานการเลี้ยงโคนม เพื่อแบ่งเบาภาระเกษตรกร ลดรายจ่าย เพิ่มรายได้ ด้วยการพัฒนาการจัดการด้านการเลี้ยงให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด โดยซีพีเอฟได้เริ่มต้นความร่วมมือพัฒนาศูนย์นมและเกษตรกรโคนมในเครือข่ายของ อ.ส.ค. รวม 5 ศูนย์รวบรวมน้ำนมดิบ ได้แก่ สหกรณ์โคนมกระนวนสามัคคี, สหกรณ์โคนมน้ำพอง จ.ขอนแก่น, สหกรณ์โคนมหนองวัวซอ จ.อุดรธานี, สหกรณ์โคนมแม่โจ้ จ.เชียงใหม่ และสหกรณ์โคนมไทย-เดนมาร์คลำพญากลาง จ.สระบุรี นับตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2563 เป็นต้นมา“ซีพีเอฟ และ อ.ส.ค. มีเป้าหมายเดียวกันในการยกระดับมาตรฐานอุตสาหกรรมนมไทยทั้งห่วงโซ่ จึงเกิดความร่วมมือในครั้งนี้ขึ้น และยังร่วมกันตั้งเป้าหมายในการขยายโครงการฯ ไปอีก 7 ศูนย์รวบรวมน้ำนมดิบทั่วประเทศ ภายในปีนี้ คาดว่าจะมีประชากรโคนม มากกว่า 12,000 ตัว มุ่งเป้าสู่ “การเกษตรแบบแม่นยำ” ด้วยการเก็บข้อมูลบันทึกการเลี้ยง สำหรับนำมาวิเคราะห์เพื่อแก้ไขปัญหาอย่างตรงจุด และสามารถวัดผลได้ พร้อมส่งต่อองค์ความรู้และมาตรฐานของซีพีเอฟสู่เกษตรกรโคนม มุ่งเน้นให้คนเลี้ยงโคนมมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ตลอดจนร่วมกันสร้างผลผลิตน้ำนมที่มีคุณภาพ สด สะอาด ปลอดภัย สู่ผู้บริโภค” นายเรวัติกล่าว  

ซีพีเอฟ จับมือ อ.ส.ค. เดินหน้าโครงการสี่ประสานสร้างความยั่งยืนโคนมไทย Read More »

การดูแลแม่ไก่ไข่ที่เลี้ยงในโรงเรือนเปิด ในช่วงอากาศร้อน

การดูแลแม่ไก่ไข่ที่เลี้ยงในโรงเรือนเปิด ในช่วงอากาศร้อน           ปัจจุบันการเลี้ยงไก่ไข่ของเกษตรกรในประเทศไทยส่วนใหญ่จะอยู่ภายในโรงเรือนปิด ที่เรียกว่า Evaporative Cooling System หรือที่นิยมเรียกกันว่า โรงเรือนอีแวป (Evap) ซึ่งทำให้แม่ไก่อยู่สบายมากขึ้นในช่วงที่อากาศภายนอกเล้า สูงกว่า 35 C ทำให้ผลกระทบเรื่องอากาศร้อนต่อการให้ผลผลิตของแม่ไก่น้อยกว่าแม่ไก่ที่เลี้ยงอยู่ในโรงเรือนเปิด ปกติแล้วอุณหภูมิที่เหมาะสมต่อความเป็นอยู่ของแม่ไก่ อยู่แล้วสบาย จะอยู่ในช่วงประมาณ 18-25 C นอกจากไก่เป็นสัตว์ที่ไม่มีต่อมเหงื่อคอยช่วยทำหน้าที่ระบายความร้อนเหมือนกับมนุษย์หรือสัตว์ประเภทอื่นแล้ว ขนที่ปกคลุมอยู่บนตัวไก่ก็เป็นอีกอุปสรรคหนึ่งในการระบายความร้อนของแม่ไก่ ดังนั้นเวลาที่อุณหภูมิภายในเล้าอยู่ที่ประมาณ 26-32 C แม่ไก่ก็จะกินอาหารได้ลดลง แต่จะกินน้ำเพิ่มขึ้น เพื่อลดความร้อนที่เกิดขึ้นภายในร่างกาย ถ้าอุณหภูมิในเล้าสูงเกิน 35 C แม่ไก่ก็จะแสดงอาหารหอบ กางปีก หมอบกับพื้นกรง เกิดภาวะเครียดจากความร้อน หรือที่เรียกว่า Heat Stress (ขบวนการทางฮอร์โมนในร่างกายเกิดการเปลี่ยนแปลง) แต่ถ้าอุณหภูมิในเล้าสูงเกินกว่า 39 C ก็จะมีผลทำให้แม่ไก่เริ่มทยอยตาย (ปกติอุณหภูมิร่างกายของไก่อยู่ที่ 41.2C) ผลของการเลี้ยงแม่ไก่ในเล้าที่มีอุณภูมิสูงหรือในสภาพอากาศร้อน 1.การให้ผลผลิตไข่ลดลง ขนาดฟองไข่เล็กลง คุณภาพเปลือกด้อยลง เนื่องจากแม่ไก่กินอาหารได้ลดลง ทำให้แม่ไก่ได้รับสารอาหารไม่เพียงพอต่อการสร้างไข่ 2.แม่ไก่จะแสดงอาการหอบ นอกจากแม่ไก่สูญเสียพลังงานไปกับการหอบเพื่อระบายความร้อนแล้ว การหอบยังมีผลทำให้แม่ไก่สูญเสีย CO2 ที่จะแม่ไก่จำเป็นต้องใช้ในขบวนการการสร้างไข่ ซึ่งส่งผลทำให้คุณภาพเปลือกไข่ด้อยลง เช่น เปลือกบางลง สีซีดลง เป็นต้น 3.มูลไก่จะมีลักษณะเหลวขึ้น เนื่องจากแม่ไก่ต้องกินน้ำเพิ่มขึ้น โดยปกติถ้าแม่ไก่อยู่ในเล้าที่อุณหภูมิอยู่ในช่วง 18-25C สัดส่วนการกินน้ำต่ออาหารของแม่ไก่จะอยู่ที่ 1.8-2.0 เท่าของอาหารที่กินได้ แต่ถ้าอากาศภายในเล้าร้อนขึ้น สัดส่วนการกินน้ำต่ออาหารอาจเพิ่มขึ้นเป็น >2.6 เท่าของอาหาร ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับอุณหภูมิที่แม่ไก่รู้สึก ณ เวลานั้นๆ 4.ตัวตายต่อวันจะเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับมาตรฐานการเลี้ยง ซึ่งการตายของแม่ไก่ที่มีสาเหตุจากอากาศร้อน จะพบว่าแม่ไก่มักจะตายเยอะในช่วงเวลาบ่าย ช่วงที่อากาศร้อนจัด และพบว่าแม่ไก่ที่ตัวอ้วนๆ จะตายมากกว่าตัวที่มีน้ำหนักตัวได้ตามมาตรฐาน หรือตัวที่ผอม และเมื่อผ่าซากดูจะพบวิการตับแตก เนื้อหน้าอกขาวซีด อุณหภูมิในช่องท้องค่อนข้างสูง แนวทางการจัดการเลี้ยงแม่ไก่ในโรงเรือนเปิด ในช่วงอากาศร้อน 1.ด้านโรงเรือน    1.1 ลดการแผ่ความร้อนจากหลังคาโรงเรือนมาสู่ตัวไก่ โดยการติดสปิงเกอร์บนหลังคาโรงเรือน การเปิดสปริงเกอร์ ควรเปิดก่อนที่อากาศภายนอกจะร้อนเพื่อลดการสะสมของความร้อนที่หลังคา เช่นเปิดสปริงเกอร์ตั้งแต่ เวลา 9:30 – 16:00 น. เป็นต้น หรือการทำหลังคาชั้นที่ 2 ด้วยหญ้าคา, ใบจาก ต่อจากหลังคาสังกะสีหรือกระเบื้อง    1.2 ติดตั้งพัดลมภายในเล้า เพื่อระบายอากาศร้อนออกจากตัวไก่และโรงเรือน    1.3 การติดตั้งระบบพ่นหมอกภายในโรงเรือนร่วมกับพัดลมระบายอากาศ    1.4 ติดตั้งผ้าม่านป้องกันแสงแดดส่องเข้าภายในเล้า หรือใช้การปลูกต้นไม้รอบๆโรงเรือน เช่น ต้นกล้วย แต่ทั้งนี้ผ้าม่านจะต้องไม่ไปปิดกันทิศทางลมธรรมชาติที่จะเข้าเล้า 2. ด้านน้ำและอาหาร    2.1 จัดเตรียมน้ำสะอาดที่มีอุณหภูมิ ประมาณ 20-25C ให้แม่ไก่ได้กินตลอดช่วงที่อากาศร้อน หรือเติมน้ำแข็งลงในถังพักน้ำเพื่อปรับลดอุณหภูมิของน้ำก่อนให้ไก่กิน    2.2 อย่าให้ถังพักน้ำหรือท่อน้ำที่ให้ไก่กินถูกแสงแดดส่อง เพราะจะทำให้อุณหภูมิของน้ำที่อยู่ภายในสูงขึ้น ทำให้ไก่กินน้ำลดลง    2.3 ผสมไวตามิน เช่น ไวติมิน C, A, E และ Bรวม หรือไวตามิน+กรดอะมิโน ในน้ำที่ให้ไก่กิน ซึ่งช่วงเวลาที่เหมาะสมในการให้ไวตามิน C คือ ช่วงเวลาก่อนที่อากาศจะเริ่มร้อน อาจจะเป็นช่วง 9:00 – 10:00 โมง (ขึ้นอยู่ในแต่พื้นที่) นอกจากนั้นการเสริมสารอิเล็คโตไลน์ในน้ำก็สามารถช่วยลดภาวะ Heat Stress ในแม่ไก่ลงได้    2.4 หลังจากให้น้ำที่ผสมไวตามินเลร็จเรียบร้อย ต้องคอยหมั่นทำความสะอาดรางน้ำหรือท่อนิปเปิล เพื่อป้องกันการสะสมของเมือกภายในรางน้ำหรือท่อน้ำกิน ซึ่งอาจจะทำให้เกิดปัญหาไก่ท้องเสียตามมาได้    2.5 ให้อาหารมื้อเช้าให้เร็วขึ้น อาจจะเป็นช่วงเวลา 5:00 – 6:00 โมง เป็นต้น ส่วนมื้อบ่ายก็ให้ในช่วงที่อากาศเริ่มเย็น เช่น เวลา 17:00 – 18:00 น. ร่วมกับการเปิดไฟช่วงเวลา 23:00 – 01:00 น.ให้ไก่ตื่นขึ้นมากินอาหารเพิ่มจากโปรแกรมแสงปกติ    2.6 ควรงดการกระตุ้นการกินอาหารหรือเดินเกลี่ยอาหารในรางในช่วงที่อากาศร้อน เช่น ช่วงเวลา 12:00 – 14:00 น. เพราะจะทำให้แม่ไก่เกิดการเคลื่อนไหว เกิดการสร้างความร้อนขึ้นมาได้    2.7 เลือกใช้อาหารที่มีความสมดุลของโปรตีนและพลังงานให้เหมาะสมต่อความต้องการของแม่ไก่ เพื่อลดการสูญเสียพลังงานในการขับสารอาหารส่วนเกินออกจากร่างกาย   CR :  ผู้เชี่ยวชาญด้านอาหารสัตว์ คุณสมเจต ทองนวล  

การดูแลแม่ไก่ไข่ที่เลี้ยงในโรงเรือนเปิด ในช่วงอากาศร้อน Read More »

CPF คำนึงถึงความปลอดภัยของแหล่งที่มาวัตถุดิบ ที่ไม่มาจากแหล่งที่มีความเสี่ยงปนเปื้อนเชื้อ ASF

CPF คำนึงถึงความปลอดภัยของแหล่งที่มาวัตถุดิบ ที่ไม่มาจากแหล่งที่มีความเสี่ยงปนเปื้อนเชื้อ ASF Read More »

เว็บไซต์นี้มีการจัดเก็บคุกกี้เพื่อมอบประสบการณ์การใช้งานเว็บไซต์ให้แก่ท่านได้ดียิ่งขึ้น รวมถึงทำให้สามารถมอบข้อเสนอ กิจกรรมส่งเสริมการขาย เลือกเนื้อหาให้เหมาะสมแก่ท่านอย่างเป็นส่วนตัวได้ การเก็บและใช้งานคุกกี้สามารถศึกษาได้ที่นโยบายการใช้คุกกี้นี้ การใช้งานเว็บไซต์นี้จะมีการจัดเก็บคุกกี้ประเภทต่าง ๆ ซึ่งท่านต้องยอมรับและยินยอมให้บริษัทฯ จัดเก็บ. (เรียนรู้เพิ่มเติม)