Logo-CPF-small-65png

ข่าวสารทั่วไป

แนะนำ CPF Farm Solutions ผู้ช่วยแนะนำ การจัดการฟาร์มรูปแบบใหม่

ศูนย์รวมบริการ สำหรับธุรกิจฟาร์ม แบบมาที่เดียวครบ สำหรับ การจัดการฟาร์มรูปแบบใหม่ จบตั้งแต่เริ่มสร้างถึงขาย มาดูกันเลยครับ สำหรับท่านที่มองหา ธุรกิจ เพิ่มเติม จาก ธุรกิจที่ทำอยู่ หรือว่าต้องการสร้างฟาร์มอยู่แล้วจากธุรกิจเดิมที่มีอยู่ ผมอยากแนะนำ ให้มาอ่าน และลองดูบทความนี้ครับ เราจะได้เห็นว่า ถ้าคุณต้องการทำ ธุรกิจฟาร์มเลี้ยงสัตว์ ตั้งแต่เริ่ม ในมุมของการทำธุรกิจ มันไม่ได้ยาก เพราะเดี๋ยวนี้ มี หน่วยงานที่ช่วย แนะนำ ผู้ที่ต้องการเริ่มเข้ามาในธุรกิจ นี้ หรือว่า ไม่เคยทำมาก่อน แต่มีความสนใจ หรือที่ต้องการจะลงทุน สร้างธุรกิจ ในแบบที่เราไม่เคยทำมาก่อนก็สามารถทำได้ โดยมี CPF Farm Solutions มาเป็นผู้ช่วย และให้คำปรึกษา ในการจัดการฟาร์มรูปแบบใหม่ เรียกว่าครบทุกเรื่องของการสร้าง และจัดการฟาร์ม มีทุกอย่างตั้งแต่ เริ่ม จนถึงหาตลาด และขาย เรียกว่าครบทุกอย่าง สำหรับธุรกิจฟาร์มกันเลยครับ อย่างแรกมารู้จักกันก่อนครับ สำหรับ CPF Farm Solutions จะช่วยอะไรเราได้บ้าง? ต้องบอกเลยครับ ว่า สำหรับ ผู้ที่ทำธุรกิจฟาร์ม หรือไม่ว่าจะธุรกิจใดก็ตาม เมื่อเราเริ่มทำแล้ว ก็ต้องอยากให้ธุรกิจที่เราดูแล เติบโต และต่อเนื่อง ส่วนใหญ่แล้ว จะมี 3 ความต้องการหลักๆ ดังนี้ครับ ต้องการยกระดับฟาร์มให้ได้มาตรฐาน และมีมาตรฐานในการขาย เพื่อเป็นความเพิ่มความเชื่อมั่นให้กับทางผู้บริโภค ต้องการหาเทคโนโลยีมาช่วยในการจัดการฟาร์ม เพราะเทคโนโลยีจะทำให้ธุรกิจเติบโต และเมื่อเติบโตแล้ว ย่อมมีผลกำไรตามมาครับ ต้องการที่จะนำเทคโนโลยี มาช่วย ให้ธุรกิจที่ทำอยู่ดีขึ้นและถ้าหากเป็นฟาร์ม ก็จะเรียกว่าเป็น Smart Farm ได้ครับ จากความต้องการหลักๆ ข้างต้นเจ้าของธุรกิจ ต้องการให้ธุรกิจที่ดำเนินการอยู่เติบโต ในทุกๆด้าน ไม่ว่า จะเป็น ต้องการให้ฟาร์มมีมาตรฐาน เพื่อเป็นที่ยอมรับของผู้บริโภค แลเมื่อมีมาตรฐานแล้ว ได้รับการยอมรับจากผู้บริโภคแล้ว ฟาร์ม ก็จะสามารถขยายตลาดไปได้ในหลายที่กว่าเดิม ได้พบกับลูกค้าใหม่ๆ ได้พบกับโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ สิ่งเหล่านี้จะทำให้ธุรกิจฟาร์มเติบโต มั่นคง และจากสถานการณ์ปัจจุบัน ที่มีโรคระบาด ทั้งคน และสัตว์ ทาง CPF ได้มีการนำเทคโนโลยี ที่หลากหลาย และก้าวหน้าเข้ามาช่วยเกษตรกร ไม่ว่าจะเป็น เรื่องการเลี้ยง การดูแล หรือเรื่องอาหารสัตว์ และการให้บริการเรื่องอื่นๆ ที่เป็นการช่วยเกษตรกร เจ้าของฟาร์ม หรือผู้ที่สนใจธุรกิจฟาร์ม นี่เป็นส่วนหนึ่ง ของการสร้าง CFP FARM SOLUTIONS ขึ้นมาเพื่อช่วย ให้คำปรึกษา แนะนำ กับผู้ที่มีธุรกิจ หรือต้องการลงทุนในการสร้าง ฟาร์มขนาดกลาง หรือขนาดใหญ่ โดยมีการแบ่งหมวดหมู่เพื่อให้บริการผู้ที่สนใจดังนี้ บริการด้านไฟฟ้าและวิศวกรรม บริการระบบมาตรฐานฟาร์มและผลิตภันฑ์ บริการจัดการฟาร์ม โรค และการลงทุน บริการให้คำปรึกษาและกำจัดสัตว์พาหะ บริการสรรหาบุคลากร และอบรม ทั้งหมดนี้ จะสามารถบริหารฟาร์ม ได้จากระบบ smart farm โดยระบบจะมีการรายงาน และแจ้งเตือนให้กับเจ้าของฟาร์มได้ ง่ายๆ แค่มีอินเตอร์เน็ต เทคโนโลยี จะมาช่วยใน การจัดการฟาร์มรูปแบบใหม่ ได้อย่างไรบ้าง มาดูกันครับ บริการด้านพันธุ์สัตว์ เรามีบริการพันธุ์สัตว์ออนไลน์ สั่งซื้อ เคลม ออนไลน์ได้เลย บริการด้านวิชาการ แนะนำเทคโนโลยี การบริหาร การทำมาตรฐานฟาร์ม ทั้งนี้ ลูกค้า และคู่ค้า ก็จะสามารถเข้าถึงเข้ามูลได้ง่ายที่สุด ทั้งนี้การเข้าถึงข้อมูล และการใช้งานระบบ ลูกค้า สามารถ เข้าสู่ระบบการจัดการฟาร์มได้ง่ายๆ บริการด้านการตลาด นอกจากเรื่องของพันธุ์สัตว์แล้ว การทำมาตรฐานแล้ว ทาง CPF มีระบบบริการรับซื้อคืนด้วยครับ เรียกว่า แนะนำตั้งแต่เริ่มเลี้ยง สอนวิธีเลี้ยง ทำมาตรฐาน และหาที่ขายให้ด้วยเลย ครบและดี สำหรับธุรกิจจริงๆ สำหรับบริการที่เด่นๆ ของ CPF FARM SOLUTIONS ที่อยากแนะนำมีดังนี้ครับ บริการตรวจเช็คระบบไฟฟ้า และประเมินความเสี่ยงในฟาร์ม สำหรับบริการนี้ ลูกค้าจะได้รับ บริการตรวจความปลอดภัย และงานไฟฟ้า ภายในฟาร์ม ป้องกันปัญหาสัตว์เลี้ยงตาย จากไฟฟ้าดับ และเพิ่มทักษะสอน ให้กับเจ้าหน้าที่ ที่ดูแลฟาร์ม  ในการตรวจสอบ ระบบไฟฟ้า ได้ด้วยตนเอง สามารถใช้ อุปกรณ์ระงับอัคคีภัยอย่างชำนาญ และมีการประเมินความเสี่ยงด้านอัคคีภัยที่จะเกิดขึ้น เพื่อป้องกันความเสียหายที่จะเกิดขึ้นด้วยครับ สามารถดูรายละเอียดได้ที่นี่ครับ : https://www.cpffarmsolutions.com/service-excellent/engineer-service บริการแนะนำจัดทำ ระบบมาตรฐานฟาร์ม และการขอมาตรฐานฟาร์ม สิ่งที่ลูกค้าจะได้รับ การบริการให้คำปรึกษา แนะนำ อบรม และช่วยตรวจประเมินฟาร์ม เพื่อใช้ใน การยื่นขอมาตรฐานต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น มาตรฐานฟาร์ม เพื่อให้ได้มาซึ่งการรับรองคุณภาพของการผลิตอาหาร มาตรฐานต่างๆที่ฟาร์มได้รับ จะส่งผลต่อความมั่นใจให้ตลาดชั้นนำและผู้บริโภค ให้มีความเชื่อมั่น กับธุรกิจฟาร์ม และเป็นการขยายตลาด เพิ่มโอกาสในการส่งสินค้า ไปขายที่ห้างค้าส่ง และค้าปลีกต่อไป สามารถดูรายละเอียดได้ที่นี่ครับ : https://www.cpffarmsolutions.com/service-excellent/gap-service บริการจัดการฟาร์ม และโรค หรือ ระบบความปลอดภัยทางชีวภาพ สำหรับส่วนนี้ถือเป็นเรื่องสำคัญมากๆ กับการบริหารฟาร์มเลยครับ เพราะว่าจากสถานการณ์โรคระบาดในปัจจุบัน การให้ความสนใจเรื่องการจัดการโรค ป้องกันและควบคุมโรค จะเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้ฟาร์มอยู่รอดเลยครับ ทั้งนี้ในส่วนนี้ จะให้การบริการ และ ให้คำปรึกษาแบบ ครบวงจร ตั้งแต่เรื่องการลงทุน หาพื้นที่ สร้างฟาร์ม การเลี้ยงและ การจัดการฟาร์ม โดยการนำ เทคโนโลยีที่ทันสมัย มาช่วยให้การ เลี้ยงสัตว์เป็นเรื่องง่าย ระบบการป้องกันโรค จะช่วยให้ฟาร์มปลอดภัย และใช้เทคโนโลยี เข้ามาดูแลตลอด 24 ชั่วโมง สามารถดูรายละเอียดได้ที่นี่ : https://www.cpffarmsolutions.com/service-excellent/manage-farm-service วีดีโอแนะนำ ai farm lab ได้เห็นแบบนี้ แล้ว น่าจะทำให้ใครก็ตามที่ต้องการ ทำธุรกิฟาร์มขนาดกลาง และขนาดใหญ่ ก็คง สบายใจ และลองเข้าไปดู เว็บไซต์ หรือรับคำปรึกษาและ บริการได้เลยครับที่ http://www.cpffarmsolutions.com

แนะนำ CPF Farm Solutions ผู้ช่วยแนะนำ การจัดการฟาร์มรูปแบบใหม่ Read More »

ระบบการจัดการฟาร์ม เพื่อ ป้องกันโรคในฟาร์ม และ โรคระบาดในฟาร์ม

ระบบการจัดการฟาร์ม เพื่อ ป้องกันโรคในฟาร์ม และ โรคระบาดในฟาร์ม สวัสดีครับ สำหรับบทความนี้เราจะมีดูเรื่อง ของ  โรค ASF หรือโรค ไวรัส ในหมู ที่ตอนนี้กำลังเกิดขึ้น ในที่ต่างๆ เพื่อเป็นการแนะนำวิธีการ ป้องกัน โรค ASF ในฟาร์ม เจ้าของฟาร์มต้องทำอย่างไร หรือ ต้องมี ระบบการจัดการฟาร์ม เพื่อป้องกันการแพร่ระบาด อย่างไร สำหรับโรคนี้เป็นโรคที่ไม่แพร่ทางอากาศ แต่สามารถแพร่ระบาดได้ทางไหนบ้าง นอกจากนี้แล้ว เราจะมี วิธีการป้องกันโรค สำหรับฟาร์มของเราได้อย่างไร และหากติดแล้ว ฟาร์มของเรา ต้องมีมาตรการในการป้องกันอย่างไรบ้าง สำหรับการป้องกัน การแพร่ระบาด ฟาร์มต้องมีอะไรบ้าง? อยากรอดต้องมี ห้องอาบน้ำ ตู้ยูวี เครื่องพ่นยาฆ่าเชื้อบ่อดินล้อรถขนส่ง โกดังอาหาร 2 ส่วน มีการแยกอาหารเก่าใหม่ และมีการติดตั้งแสงยูวีเข้าไป มุ้งกันแมลงวัน เพราะเป็นสัตว์พาหะ สามารถติดมากับแมลงวันได้ เช่นแมลงวันไปบินตอม และนำเชื้อเข้ามาสู่ฟาร์ม ซึ่งรัศมีในการหากินของแมลงวันคือ 1-3 กิโลเมตร และเป็นทางแพร่ที่อันตรายมาก และติดต่อได้ง่าย จะแบ่งเป็น 2 กรณีคือ เล้าเปิด แนะนำให้ปิดมุ้งไปเลย ให้ครอบคลุม และหากเป็นเล้าปิด ก็ใช้มุ้งคลุมบริเวณที่อาจจะมีแมลงวันเข้ามาได้ เช่นบริเวรพัดลม ทางเดินไล่สุกร บ่อทิ้งซาก นำบาดาล บ่อพักฆ่าเชื้อ รั้วกั้นสัตว์พาหะ ข้อปฏิบัติด้านการป้องกันโรค เล้าเกษตรกร เจ้าหน้าที่ต้องอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า รองเท้า ทุกครั้ง เพราะมีการทดสอบแล้วว่า หากมีเชื้อโรคติดมา ก็จะเป็นการช่วยป้องกันการแพร่กระจายได้ และต้องการการฆ่าเชื้อที่ห้องน้ำด้วย เพราะ เชื้อที่ติดตัวมาจะอยู่ที่น้ำและที่ห้องน้ำ เมื่อเราอาบน้ำเปลี่ยนชุด ฆ่าเชื้อของใช้ทุกชิ้น ด้วย UV ทำการพ่นยาฆ่าเชื้อรถทุกคัน ทุกครั้ง กำจัดหนู และแมลง ห้ามน้ำเนื้อสุกรเข้าฟาร์ม คือ อาจจะเป็นการ นำโรคเข้ามาที่ฟาร์มของเราได้ เช่นอหิวา สุกร หรือโรคอื่นๆ ซึ่งจริงๆ แล้ว ควรห้ามน้ำเนื้อสัตว์กีบคู่เข้ามาด้วย เช่นโค กระบือ แพะ แกะ ก็ห้ามด้วยเหมือนกัน แต่ตอนนี้ โรค ASF ASF ย่อมาจาก​ African Swine Fever ซึ่งอันตรายร้ายแรงมาก ทั้งนี้ จากงาน วิจัยเรื่องโรค ASF หากเก็บในตู้เย็น เชื้อจะอยู่ได้ 7-30 วันเลยทีเดียว และยากต่อการกำจัด รวมถึงอาหารที่มีการแปรรูปแล้วด้วยเพราะความร้อนในการประกอบอาหารอาจจะทำให้เชื้อยังคงอยู่ได้ ในการฆ่าเชื้อ ต้องใช้อุณหภูมิ 70 องศาเป็นเวลา 30 นาที ดังนั้นการนำเนื้อสุกรเข้ามาที่ฟาร์ม ก็เหมือนกับการเอาเชื้อโรคเข้ามาสู่ฟาร์มนั้นเอง ห้ามนำเศษอาหารให้กับสุกร ห้าม ขายซาก ขายมูลระหว่างการเลี้ยง จากที่กล่าวมาข้างต้นแล้ว เหมือนเป็นระบบพื้นฐานที่ทุกฟาร์มต้องปฏิบัติเพื่อความปลอดภัยของฟาร์ม หรือระบบ bio security ของฟาร์มนั้นเองครับนอกจากนี้ การเข้ามาของเชื้อ ASF ที่เคยมีการตรวจเจอ คือมีการนำเข้ามาจากต่างประเทศ โดยไม่รู้ว่า มีเชื้อปนเปื้อนอยู่ ยกตัวอย่าง นักท่องเที่ยวเอาอาหารแปรรูปมาจากต่างประเทศเพื่อเป็นของฝาก แต่ เมื่อมีการตรวจพบ และห้ามนำเข้า และเอามาตรวจ จึงได้พบกว่า มีเชื่อ ASF อยู่ด้วย เพราะกระบวนการแปรรูป แทบจะไม่สามารถทำอันตรายเชื่อนี้ได้เลย สิ่งที่ตรวจเจอ เช่น หมูแผ่น หมูกรอบ กุญเชียง และอาหารแปรรูปอื่นๆ โรค ASF มีวัคซีน สำหรับป้องกันหรือไม่ สำหรับโรค ASF ตอนนี้ยังไม่มีวัคซีน ในการป้องกันและรักษา ดังนั้นการป้องกันทางชีวภาพ หรือ Bio Security เป็นทางเลือกที่ดีที่สุด เพราะหากเป็นแล้ว ฟาร์มก็จะสูญเสียอย่างมาก จุดวิกฤต ด้านการป้องกัน เล้าเกษตรกร หรือฟาร์มที่มักจะเกิดเหตุ หรือพลาด ทำให้มีปัญหา ห้องอาบน้ำ มีแต่ ไม่ได้ใช้งาน หรืออาบน้ำให้ถูกต้อง มุ้งกันแมลงวัน มีแต่ไม่สามารถป้องกันแมลงวันได้ หรือ ปล่อยให้แมลงวันเข้าเล้าได้ ประมาณ แค่ 10 ตัว ก็มีความเสี่ยงที่จะทำให้เกิดได้แล้ว บ่อทิ้งซาก ที่มีการย้ายซากสุกรเข้าออก ทำให้รถที่มารับ สุกรกลายเป็นที่แพร่เชื้อ 10 มาตรการป้องกันโรคสำคัญ เมื่อโรคเข้ามาแล้ว ทำอย่างไรให้เหลือ อาบน้ำเปลี่ยนชุด ก่อนเข้าเขตฟาร์ม (ห้องอาบน้ำมี 2 ชั้น) รถในห้ามออก รถนอกห้ามเข้าให้มากที่สุด รถที่มาที่ฟาร์ม ล้าง และฆ่าเชื้อให้ทั่วถึง และจอดไว้ 30 นาที ของที่นำเข้าฟาร์มต้องผ่าน ยูวี หรือมีการพ่นฆ่าเชื้อ ป้องกันกำจัดสัตว์พาหา ติดมุ้งกันแมลง ใช้น้ำบาดาล หรือน้ำภายในฟาร์มเท่านั้น กำจัดซากสุกร และจัดการขยะที่ดี พ่นฆ่าเชื้อ หรือโรยปูนขาวรอบฟาร์ม การขายที่ถูกต้อง และมีการแบ่งโซนชัดเจน ให้ความรู้พนักงานและให้ความร่วมมือในการป้องกันโรค โดนแล้ว ทำยังไงให้เหลือ (เมื่อตรวจเจอแล้ว) รู้เร็ว มีการเก็บตัวอย่างถูกต้อง ตรวจยืนยันรวดเร็ว จัดการเร็ว ควบคุมการเคลื่อนย้ายสุกร วางแผนคัดทิ้ง ทำลาย สุกรที่เป็นโรค หรือมีความเสี่ยงสูง จบเร็ว ควบคุมโรคได้ ไม่แพร่กระจายไปยังฟาร์มอื่น ถ้าเจอเหตุแบบนี้ แนะนำให้ตรวจ สุกรที่มีน้ำหนัก น้อยกว่า 50 กิโลกรัม มีอัตราการตาย มากกว่า 1% ต่อวัน สุกรที่มีน้ำหนัก มากกว่า 50 กิโลกรัม ตายโดยไม่ทราบสาเหตุ ให้เก็บต่อมน้ำเหลืองขาหนีบ ทันที วิธีการดูที่ภาพได้ เมื่อตรวจสอบแล้วว่าเป็น ทำยังไง Xray 100% เก็บต้วอย่าง Swab หากเราสามารถตรวจได้ครบ ได้เร็ว ก็จะ ทำการแยกกันต่อไป วีดีโอการแนะนำวิธีการตรวจ สามารถดูได้ที่นี่ https://drive.google.com/drive/folders/1_A5f4ptS-q0oOg_VNjZV6kmMJo5Aku38 ถ้าหากฟาร์ม สามารถทำและแยกได้ตามนี้ และรวดเร็ว ก็จะ ลดความเสียหายลง นอกจากนี้แล้วหลังจากที่ขายแล้ว ต้องมีการทำความสะอาด ฟาร์มอย่างดี และมีการตรวจก่อนจะเปิดฟาร์ม สำหรับขั้นตอนการล้างฟาร์มมีดังนี้ ขั้นตอนที่ 1 ทำการพ่นยาฆ่าเชื้อก่อน ทิ้งไว้ 1 วัน และฉีดล้างด้วยน้ำเปล่า หรือผงซักฟอก และใช้น้ำแรงดันสูง ล้าง ทิ้งทำลายอุปกรณ์ pad ผ้าม่าน ฉีดล้างด้วยน้ำเปล่ารอบที่ 2 ล้าง ด้วยน้ำรอบที่ 2 พ่นยาฆ่าเชื้ออีกรอบ ตรวจสอบความสะอาด ซ่อมแซมอุปกรณ์ในโรงเรือน Biogas  จุดนี้อุณหภูมิสูง เชื้อจะตาย บ่อน้ำเสีย สูบน้ำให้แห้ง ตากบ่อ โรยปูนขาว พักบ่อ 30 วัน สำหรับขั้นตอนนี้จะทำหลังจากที่เราล้างไปแล้ว เมื่อหมูออกไปหมดแล้วดูด้วยสายตา ว่าสะอาดแล้ว  ให้เราทำการ Swap วันที่ 7 , 14 , 21 , 28 หากมีการล้างไม่มีจะมีการ ตรวจเจอเชื้อ หากเจอเชื้อ ให้ทำขั้นตอนการล้างอีกรอบ ภาพขั้นตอนที่ 3 ทดลองนำสุกรเข้า เมื่อผ่าน ขั้นตอนที่ 2 แล้ว ในขั้นตอนที่ 3 จะเป็นการทดลองนำสุกร มาเลี้ยง ประมาณ 10 % ของเดิม ให้นำหมู เข้ามาเลี้ยง ภายใน 10วัน – 21 วัน จะมีการแสดงอาการ และหากมีอาการอีก ก็ต้องทำแบบเดิมซ้ำอีก ทั้งนี้หากเรา ต้องการเลี้ยงเราก็ต้องทำตามขั้นตอนอย่างเคร่งครัดครับ นอกจากนี้มีอีก เรื่องที่เราต้องให้ความสำคัญอย่างมากคือเรื่องของอาหาร เพราะนอกจากเรื่องของสัตว์พาหะแล้ว เราดูแลได้ดี และมีการจัดการได้ดีแล้ว เรื่องอาหารเป็นเรื่องสำคัญที่เราต้องให้ความสำคัญ เพราะมีการเจอเชื้อในข้าวโพด และส่วนประกอบของอาหารสัตว์ ข้าวโพด รำ ปลายข้าว ทั้งนี้สาเหตุ อาจจะมาจากการปลูกใกล้ฟาร์ม หรือในกรณีที่ฟาร์มที่เกิดความเสียหาย ไม่มีหมูแล้ว แต่ยังมีอาหารอยู่ ทำให้ต้องขายอาหารที่เหลือ ซึ่งมีการปนเปื้อนออกมา ทำให้ติดกันหมด ทั้งนี้ ฟาร์มที่มีการจัดการเรื่องอาหารเอง อาจจะต้องตรวจเชื้อด้วย เพราะไม่ว่า จะมีเชื้อในปริมาณน้อยเพียงใด แต่หากมีหมูติด ก็จะเกิดความเสียหายไปด้วยครับ ทั้งนี้อาหารสัตว์ของเรา จะมีการสุ่มตรวจ เพื่อความปลอดภัยของเกษตรกร เอกสารประกอบ และวีดีโอแนะนำการ swap สามารถ โหลดได้ที่นี่ครับ https://drive.google.com/drive/folders/1_A5f4ptS-q0oOg_VNjZV6kmMJo5Aku38

ระบบการจัดการฟาร์ม เพื่อ ป้องกันโรคในฟาร์ม และ โรคระบาดในฟาร์ม Read More »

เปิดความจริง!! วงในคนเลี้ยงหมู

กระแสของราคาหมูแพงจากโรคระบาดสัตว์ที่หลายฝ่ายมองว่า เกิดจากการปิดข่าวของภาครัฐซึ่งเพิกเฉยและไม่ยอมรับว่ามันคือ ASF หรือ โรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกร จนทำให้บานปลายกระทบปริมาณซัพพลายหมูในประเทศ ส่งผลให้เกิดภาวะหมูไม่พอต่อความต้องการและมีราคาสูงขึ้นตามหลักอุปสงค์อุปทาน ความเสียหายดังกล่าว ทำให้ไทยต้องสูญเสียเกษตรกรผู้เลี้ยงสุกรไปแล้วกว่า 50% แม้แต่ฟาร์มรายใหญ่ก็ได้รับความเสียหายเช่นกัน เพียงแต่ด้วยระบบป้องกันโรคที่เคร่งครัดเข้มงวด จึงทำให้ยังสามารถรักษาปริมาณหมูของฟาร์มไว้ได้ ต้องเรียกว่าคนในแวดวงหมูเจ็บตัวกันทุกคน อันที่จริงทุกคนในแวดวงผู้เลี้ยง ต่างก็ตระหนักและกังวลถึงโรคดังกล่าวตั้งแต่เกิดขึ้นที่ประเทศจีน มีการศึกษาหาความรู้และแนวทางป้องกัน ผมได้เห็นคนในวงการนี้ช่วยกันคนละไม้ละมือ ทั้งภาครัฐ นักวิชาการ ผู้ประกอบการ สมาคม เจ้าของธุรกิจ ฯลฯ ต่างร่วมแบ่งปันแนวทางและมาตรการต่างๆ กันอย่างเต็มที่ รายใหญ่หน่อยก็ลงแรงเยอะหน่อย รายกลาง รายเล็กก็ลดหลั่นกันลงมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งพี่ใหญ่ของวงการที่เดินสายยี่สิบจังหวัดทั่วภาคอีสาน ให้ความรู้ในการป้องกันโรคแก่เกษตรกรโดยไม่เกี่ยงว่าเป็นเกษตรกรลูกเล้าของบริษัทอื่นหรือไม่ ที่สำคัญ ผมยังได้เห็นการเสียสละลงขันกันนับร้อยล้าน จากพี่ใหญ่ พี่รอง และฟาร์มแทบทุกฟาร์มในวงการ เพื่อช่วยเหลือเพื่อนร่วมอาชีพที่เจอโรคระบาดก่อนใคร โดยไม่รอเงินเยียวยาจากภาครัฐ มีแม้กระทั่งเฮียเจ้าของฟาร์มหมูในต่างจังหวัดที่ข้ามแดนไปเยียวยาเกษตรกรในประเทศ สปป.ลาว และกัมพูชา เพื่อตัดตอนไม่ให้โรคระบาดข้ามแดนมาบ้านเรา ผมจึงไม่สบายใจนักที่คนนอกวงการมองว่ารัฐปิดข่าวเพราะห่วงการส่งออกหมูซึ่งเป็นแนวคิดที่ผิดมหันต์ และจะทำให้เกิดการเสียกำลังใจกัน ทั้งๆที่การประกาศข่าวหรือปิดข่าวไม่ใช่เรื่องของภาคเอกชนแต่เป็นเรื่องของภาครัฐ 100% ในช่วงเวลาปกติ สินค้าเนื้อหมูเป็นสินค้าที่บริโภคกันในประเทศถึง 99% เนื่องจากไทยยังมีโรคปากเท้าเปื่อยในสุกรทำให้ส่งออกหมูดิบไม่ได้ จะส่งออกได้บ้างก็ต้องทำเป็นอาหารปรุงสุกซึ่งก็แค่ 1% ส่วนในช่วงเวลาที่หมูในประเทศมีราคาตกต่ำและหมูเพื่อนบ้านแพงมาก ก็จะมีโบรคเกอร์มาซื้อหมูมีชีวิตของไทยข้ามไปชายแดน ซึ่งก็เกิดขึ้นแค่ช่วงที่เพื่อนบ้านเจอ ASF และไม่ได้กระทบปริมาณหมูที่กินกันในบ้านเรา ดังนั้น การเข้าใจผิดว่ารัฐปิดข่าวเพื่อเอื้อส่งออกจึงคลาดเคลื่อนไปจากความเป็นจริงมาก ส่วนที่สื่อบางสื่อระบุว่าในปีที่แล้วมีการส่งออกหมูไปเมียนมาเพิ่มขึ้นกว่า 300% คิดเป็นมูลค่า 60 ล้านบาทนั้น เล็กน้อยมากเมื่อเทียบกับมูลค่าหมูที่ซื้อขายกันในประเทศ ไม่มีนัยยะที่จะต้องให้ความสำคัญเลย มาตรการรัฐที่ออกมาอ้างว่าห้ามส่งออกจึงเป็นมาตรการที่แทบไม่มีผลอะไร แต่สิ่งที่ควรทำคือการส่งเสริมให้ผู้เลี้ยงรายย่อยและรายกลาง กลับมาผลิตหมูป้อนคนไทยให้เร็วที่สุด มาตรการสินเชื่อของ ธกส. ที่ออกมา รัฐได้พิจารณาอัตราดอกเบี้ยแล้วหรือไม่ สามารถสนับสนุนให้เขาสร้างฟาร์มไร้ดอกได้หรือเปล่า ทั้งยังการพัฒนาวัคซีนป้องกันโรคอีก มีแนวทางและงบประมาณอย่างไร ทุ่มทุนวิจัยและส่งเสริมอย่างจริงจังขนาดไหน การจำกัดเฉพาะศูนย์วิจัยของรัฐคงไม่พอแต่ต้องเปิดกว้างที่สุด เพราะยังไม่มีประเทศใดในโลกนี้ที่คิดค้นวัคซีนตัวนี้สำเร็จ โปรดอย่าให้เป็นเพียงวาทกรรมเพื่อบรรจุลงในมาตรการเท่านั้น อาชีพใครๆก็รัก ธุรกิจใครๆก็ต้องการรักษา ประเทศใครๆก็ต้องการเห็นความเจริญก้าวหน้า เมื่อบ้านเกิดไฟไหม้ สิ่งแรกที่ต้องทำคือดับไฟ ไม่ใช่การหาแพะหรือคนผิด ซึ่งสามารถรอให้ไฟดับแล้วค่อยไปสอบสวนสืบสวนกันต่อได้ ดังนั้น ในฐานะคนแวดวงนี้ จึงอยากขอให้ทุกคนหันมาร่วมกันฟื้นฟู ดีกว่าด่าทอกันซึ่งไม่เกิดประโยชน์ และที่สำคัญ ภาครัฐต้องหาวิธีดับไฟอย่างจริงใจและลงรายละเอียดอย่างระมัดระวัง ที่สำคัญ หวังว่ารัฐจะไม่แก้ปัญหาลวกๆ ด้วยการนำเข้าหมูต่างชาติ ย้อนแย้งกับมาตรการช่วยเหลือเกษตรกรกลับสู่อาชีพ เพราะจะทำให้ไม่มีเกษตรกรกล้าลงหมูเข้าเลี้ยงอีกเนื่องจากรู้ดีว่าหมูไทยไม่สามารถแข่งขันด้านราคากับหมูต่างชาติได้ อีกประการหนึ่งที่สัตวแพทย์ประสานเสียงเตือนคือความเสี่ยงต่อการปนเปื้อนของสารตกค้างและเชื้อโรคอื่นๆ ที่จะเข้ามาทำให้การแก้ปัญหาเรื่องโรคไม่รู้จบ การนำเข้าหมูจะกลายเป็นไฟลูกใหม่ที่พร้อมไหม้บ้านเราเองอีกครั้งในอนาคต ไทยมีจุดเด่นเป็นประเทศผู้ผลิตอาหารของโลก มีผู้คนและภาคส่วนในห่วงโซ่การผลิตที่ยาวมาก วิกฤตโรคระบาดหมูครั้งนี้ทำให้เกษตรกรหายไปจำนวนมากแล้ว รัฐต้องเร่งฟื้นฟูพวกเขาให้กลับมา ไม่ใช่ฆ่าตัดตอนคนเลี้ยงหมูที่ยังเหลืออยู่ ให้มันจะกลายเป็นวิกฤตซ้อนวิกฤต จนเกษตรกรพืชไร่และทุกภาคส่วนในห่วงโซ่การผลิต รวมถึงผู้บริโภคต้องได้รับผลกระทบกันไปทั้งหมด CR: สยามรัฐ

เปิดความจริง!! วงในคนเลี้ยงหมู Read More »

ซีพีเอฟรับซื้อข้าวเปลือกช่วยเหลือชาวนาหลังราคาข้าวตกต่ำ – ใช้เป็นส่วนผสมในการผลิตอาหารสัตว์เพิ่มเติม

นายเรวัติ หทัยสัตยพงศ์ รองกรรมการผู้จัดการบริหาร ธุรกิจอาหารสัตว์บก บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ กล่าวว่า บริษัทมีการนำผลผลิตจากข้าวและผลิตภัณฑ์ข้าว เช่น ปลายข้าวและรำข้าว มาเป็นส่วนหนึ่งในการผลิตอาหารสัตว์อย่างต่อเนื่องและล่าสุด จากสถานการณ์ราคาข้าวตกต่ำ ซีพีเอฟจึงร่วมมือกับคู่ค้าโรงสี ทำการรับซื้อข้าวเปลือก เพื่อช่วยระบายผลผลิตข้าวเปลือกในตลาด และนำข้าวเปลือกที่รับซื้อดังกล่าว มาใช้เป็นส่วนผสมในการผลิตอาหารสัตว์เพิ่มเติมจากส่วนผสมเดิม เป็นการสนับสนุนนโยบายภาครัฐ ทั้งในด้านการช่วยบรรเทาความเดือดร้อนของชาวนาไทยและส่งเสริมการใช้วัตถุดิบในประเทศ ขณะเดียวกันยังช่วยเสริมสภาพคล่องให้แก่คู่ค้าในสถานการณ์ปัจจุบัน “ซีพีเอฟ ยินดีที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในการบรรเทาความเดือดร้อนของเกษตรกรชาวนาไทย และช่วยให้โรงสีมีสภาพคล่องในสถาการณ์อันยากลำบากนี้ โดยดำเนินการรับซื้อข้าวเปลือกมาตั้งแต่เดือนต.ค.ที่ผ่านมา ต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน ซึ่งนอกจากจะสอดคล้องนโยบายรัฐแล้วยังตอกย้ำแนวทางการดำเนินธุรกิจภายใต้ปรัชญา 3 ประโยชน์ของเครือเจริญโภคภัณฑ์ที่มุ่งก่อประโยชน์ต่อประเทศชาติ ประชาชนและองค์กร”นายเรวัติกล่าว ทั้งนี้ ซีพีเอฟเดินหน้าพัฒนาห่วงโซ่ผลิตอาหารที่รับผิดชอบต่อชุมชนและสิ่งแวดล้อมมาโดยตลอด มุ่งมั่นจัดซื้อวัตถุดิบอาหารสัตว์ “สีเขียว” ทั้งข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ข้าว และอื่นๆ ที่ต้องมาจากแหล่งผลิตที่มีการปลูกอย่างยั่งยืน ผ่านระบบตรวจสอบย้อนกลับถึงแหล่งปลูกที่มีเอกสารสิทธิ์ถูกต้องตามกฎหมาย ไม่บุกรุกพื้นที่ป่า 100% (Zero Deforestation) ควบคู่กับการงดการเผาแปลงเกษตรหลังเก็บเกี่ยวให้เป็นศูนย์ (Zero Burn) “ข้าว” จึงเป็นวัตถุดิบหลักอีกชนิดหนึ่งของการผลิตอาหารสัตว์ และการจัดซื้อข้าวเปลือกในครั้งนี้ถือเป็นการจัดซื้อ “วัตถุดิบสีเขียว” ซึ่งมีแหล่งปลูกอย่างถูกต้อง ควบคู่ความภูมิใจที่ได้ช่วยพยุงราคาข้าวเพื่อช่วยเหลือพี่น้องเกษตรกร

ซีพีเอฟรับซื้อข้าวเปลือกช่วยเหลือชาวนาหลังราคาข้าวตกต่ำ – ใช้เป็นส่วนผสมในการผลิตอาหารสัตว์เพิ่มเติม Read More »

CPF ขับเคลื่อน “สุขภาพหนึ่งเดียว” ผลิตอาหารมั่นคง ปลอดภัย ใส่ใจคน สัตว์ และสิ่งแวดล้อม

CPF นำหลักการ “สุขภาพหนึ่งเดียว” (One Health) ยึดมาตรฐานสวัสดิภาพสัตว์และการใช้ยาต้านจุลชีพอย่างรับผิดชอบและสมเหตุผล ส่งเสริมการผลิตอาหารมั่นคงและปลอดภัย เพื่อสุขภาพและคุณภาพชีวิตที่ดีของคน สัตว์ และสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืนน.สพ.พยุงศักดิ์ สมยานนทนากุล รองกรรมการผู้จัดการ ด้านมาตรฐานอาหารสากลและความยั่งยืน ในฐานะประธานคณะกรรมการสวัสดิภาพสัตว์ CPF เปิดเผยว่า ภายใต้หลักการ “สุขภาพหนึ่งเดียว” ขององค์การอนามัยโลก (World Health Organization : WHO) ซีพีเอฟ เสริมประสิทธิภาพการเลี้ยงสัตว์ตามหลักสวัสดิภาพสัตว์สากล (Animal Welfare) หรือ หลักอิสระ 5 ประการ มุ่งเน้นให้สัตว์มีสุขภาพดีเป็นหลัก ทั้งสัตว์บกและสัตว์น้ำ ครอบคลุมกิจการทั้งในไทยและกิจการในต่างประเทศ ให้สัตว์ได้รับน้ำและอาหารอย่างเพียงพอ อยู่ในสภาพแวดล้อมที่ดี สามารถแสดงพฤติกรรมของสัตว์ได้ตามธรรมชาติ และเมื่อเจ็บป่วยได้รับการดูแลอย่างถูกต้องและเหมาะสมตามหลักวิชาการนอกจากนี้ CPF ยังมีนโยบายบริษัทฯ ด้านการใช้ยาต้านจุลชีพ (Antimicrobial) ครอบคลุมยาปฏิชีวนะ (Antibiotic) ด้วยความรับผิดชอบและสมเหตุผล ซึ่งการใช้ยาต้องอยู่ภายใต้การควบคุมดูแลอย่างใกล้ชิดของสัตวแพทย์และใช้เพื่อการรักษาเท่าที่จำเป็นเท่านั้น โดยเฉพาะหลีกเลี่ยงการใช้ยาต้านจุลชีพประเภทที่ใช้ทั้งในคนและสัตว์ (share-class antimicrobials) และใช้เมื่อจำเป็นอย่างระมัดระวัง โดยจะเลือกใช้ยาสำหรับสัตว์เป็นลำดับแรกและร่วมทำงานกับผู้เชี่ยวชาญระดับโลกเพื่อพัฒนาวิธีการใหม่ๆ ที่ดีกว่าในการดูแลสัตว์ตามหลักการสวัสดิภาพสัตว์ ซึ่งปัจจุบันสัตว์ในฟาร์มของ CPF 100% ได้รับการเลี้ยงดูตามหลักอิสระ 5 ประการ ภายใต้การใช้ยาปฏิชีวนะอย่างรับผิดชอบและสมเหตุผล     “ทั้งองค์การอนามัยโลก องค์การโรคระบาดสัตว์ระหว่างประเทศ (OIE) และองค์การอาหารและการเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO) ต่างให้ความสำคัญกับการดำเนินงานด้านสุขภาพระดับโลก One Health อย่างเข้มแข็ง ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม ผู้เชี่ยวชาญ เกษตรกร ตลอดจนผู้บริโภค เป็นความร่วมมือหนึ่งเดียวในการลดโอกาสเกิดเชื้อดื้อยา โดยคำนึงถึงสุขภาพของคน สัตว์ และสิ่งแวดล้อมไปพร้อมกัน เพื่อป้องกันโรคติดต่อและโรคอุบัติใหม่ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต” น.สพ.พยุงศักดิ์ กล่าวCPF กำหนดเป้าหมายสำคัญภายใต้กลยุทธ์ความยั่งใหม่ “CPF 2030 Sustainability in Action” เพื่อส่งเสริมการผลิตและการบริโภคที่ยั่งยืน สร้างความเข้มแข็งให้ธุรกิจเติบโต ในอีก 9 ปีข้างหน้า ซึ่งสวัสดิภาพสัตว์ เป็น 1 ใน 9 ความมุ่งมั่นด้านอาหารมั่นคง ในการส่งเสริมแม่สุกรอุ้มท้องอยู่ในคอกขังรวม 100% เพิ่มกำลังการผลิตไก่ไข่เลี้ยงแบบปล่อยอิสระในโรงเรือนปิด 30% เทียบกับปี 2563 และการเลี้ยงไก่เนื้อได้รับการเสริมสภาพแวดล้อมทางกายภาพ มี แกลบ กระสอบทราย ลูกบอล และคอน ให้ไก่ได้แสดงพฤติกรรมจิกและเกาะตามธรรมชาติ ภายในปี 2573 ปัจจุบันสัตว์ในฟาร์มของบริษัทฯ 100% ได้รับการเลี้ยงดูตามหลักอิสระ 5 ประการ ภายใต้การใช้ยาปฏิชีวนะอย่างรับผิดชอบและสมเหตุผลน.สพ.พยุงศักดิ์ กล่าวอีกว่า CPF บริหารจัดการธุรกิจตามหลักสวัสดิภาพสัตว์และการใช้ยาต้านจุลชีพอย่างรับผิดชอบและสมเหตุผล บนพื้นฐานทางวิทยาศาตร์ ด้วยตระหนักดีว่าแนวทางปฏิบัติดังกล่าว ส่งผลดีต่อคุณภาพของเนื้อสัตว์และการผลิตอาหารปลอดภัย สร้างทางเลือกให้กับผู้บริโภค ช่วยลดต้นทุน ลดการสูญเสีย และเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต รวมถึงความสามารถในการแข่งขันของบริษัทในตลาดโลก ตลอดจนส่งเสริมให้ผู้มีส่วนได้เสียตลอดห่วงโซ่อุปทานดำเนินการไปในทิศทางเดียวกัน สร้างห่วงโซ่การผลิตที่เข้มแข็ง ตรวจสอบย้อนกลับได้ตั้งแต่ต้นทางการผลิต จนถึงปลายทางสู่มือผู้บริโภค      CPF ยังพัฒนานวัตกรรมสวัสดิภาพสัตว์และติดตั้งเทคโนโลยีระบบ “Smart Farm” เช่น ระบบ Smart Eyes มาใช้ในฟาร์มไก่เนื้อ ให้สามารถติดตามสวัสดิภาพสัตว์ การกินอาหารและน้ำของสัตว์ แบบ Real-Time ให้ไก่อยู่ในสภาพแวดล้อมที่ดีและเหมาะสมตลอดช่วงการเลี้ยง ลดการเข้าออกของพนักงาน ลดความเสี่ยงของโรคและการสัมผัสจากมนุษย์ เป็นต้นCPF ยังวัดผลการส่งเสริมสวัสดิภาพสัตว์ (Welfare Outcome Measures : WOMs) เพื่อประเมินว่าสัตว์ได้รับการปฏิบัติสวัสดิภาพชั้นสูง ส่งเสริมสุขภาพที่ดีทั้งร่างกายและจิตใจ ทั้งไก่เนื้อ ไก่ไข่ สุกร และกุ้ง ตลอดจนวิจัยและพัฒนานวัตกรรมสวัสดิภาพสัตว์ ส่งเสริมการเลี้ยงสัตว์ตามหลักมนุษยธรรม ลดผลกระทบต่อสัตว์อย่างรอบคอบ ตามเป้าหมาย “สุขภาพหนึ่งเดียว” ที่เชื่อมโยงความเป็นอยู่และสุขภาพที่ดีของ คน สัตว์ และสิ่งแวดล้อม เข้าด้วยกัน./ CR : CPF

CPF ขับเคลื่อน “สุขภาพหนึ่งเดียว” ผลิตอาหารมั่นคง ปลอดภัย ใส่ใจคน สัตว์ และสิ่งแวดล้อม Read More »

รองจุรินทร์เข้าใจหมูแบกต้นทุนอาหารสัตว์และการป้องกันโรค เน้นดูแลผู้บริโภคผ่านห้างค้าปลีก และโครงการรถโมบายพาณิชย์ลดราคา

รองจุรินทร์เข้าใจหมูแบกต้นทุนอาหารสัตว์และการป้องกันโรค เน้นดูแลผู้บริโภคผ่านห้างค้าปลีก และโครงการรถโมบายพาณิชย์ลดราคา 10 พฤศจิกายน 2564 รัฐสภา – ท่านรองนายกจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ เชิญสมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ กรมปศุสัตว์ ผู้เลี้ยงภาคบริษัท ผู้บริหารซีพีเอฟ และเบทาโกร เข้าร่วมให้ข้อมูลสถานการณ์ การผลิต และตลาด เพื่อประเมินสถานการณ์หามาตรการช่วยเหลือผู้บริโภค สืบเนื่องจากข่าวหมูแพงในช่วง 3-4 วันที่ผ่านมา ทำให้ท่านรองนายกและรัฐมนตรีว่าการพาณิชย์ จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ ได้เชิญผู้ที่เกี่ยงข้องมาให้ข้อมูล       โดยกรมปศุสัตว์และสมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติได้ให้ข้อมูล จำนวนผลผลิต ความเสียหายจากโรคสุกร ต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้นจากวัตถุดิบอาหารสัตว์ โดยเมื่อเปรียบเทียบต้นทุนการผลิตสุกรขุนปี 2563 กับปี 2564 ต่างกันสิ้นเชิง  โดยปี 2563 ผู้เลี้ยงสุกรให้ความร่วมมือขายสุกรมีชีวิตหน้าฟาร์มที่ราคาไม่เกิน 80 บาทต่อกิโลกรัมนั้น  เป็นราคาที่สะท้อนต้นทุนตามกลไกลตลาด โดยผู้เลี้ยงสุกรมีต้นทุนเฉลี่ยอยู่ที่ 65.67 บาท ส่วนปี 2564 ราคาสุกรมีชีวิตหน้าฟาร์มปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยเป็นราคาเฉลี่ยที่ผู้เลี้ยงสุกรขายได้เฉลี่ย 67-68 บาทต่อกิโลกรัมที่ต้นทุนประมาณ 78-80 บาท ตามการประเมินของคณะอนุกรรมการต้นทุนของ Pig Board ในช่วง 3 ไตรมาสแรกของปี 2564 โดยมีราคาตกต่ำสุดช่วงเดือนมีนาคมถึงเมษายน ที่มีราคาต่ำกว่า 60 บาทต่อกิโลกรัม ตามข้อมูลจากตัวแทนผู้เลี้ยง  สมาคมผู้เลี้ยงสุกรจึงจำเป็นต้องขอขยับราคาขึ้นตั้งแต่ปลายเดือนกันยายน เพื่อลดความสูญเสียให้เกษตรกร วันพระล่าสุดที่ 4 พฤศจิกายน 2564 อยู่ที่ 80-82 บาท ผู้เลี้ยงต้องปรับราคาจำหน่ายขึ้น เพื่อลดภาระขาดทุน ที่ผู้เลี้ยงมีต้นทุนผลิตสุกรที่สูงขึ้นจากวัตถุดิบอาหารสัตว์หลักประกอบด้วยข้าวโพดเลี้ยงสัตว์มีราคาสูงถึง 10-11 บาทต่อกิโลกรัม กากถั่วเหลืองสัปดาห์ล่าสุดอยู่ที่ราคา 19.80 บาทต่อกิโลกรัมและมีแนวโน้มสูงขึ้นจากสต็อกผู้ผลิตในต่างประเทศลดลง  โดยมีค่าบริหารความเสี่ยงด้านโรคระบาดในสุกรที่เพิ่มขึ้น 300-400 บาทต่อตัว รวมทั้งต้นทุนวัตถุดิบอาหารสัตว์ดังกล่าวคิดเป็น 70% ของต้นทุนการเลี้ยงที่เพิ่มขึ้นประมาณ 20% ตั้งแต่ต้นปี 2564 ทำให้ต้นทุนการผลิตทั้งปี 2564 เฉลี่ยอยู่ที่ 78.40 บาท  ซึ่งราคาสุกรหน้าฟาร์มที่สะท้อนต้นทุนไม่ควรต่ำกว่า 90 บาทต่อกิโลกรัม ตามการให้สัมภาษณ์ผ่านสื่อสาธารณะของนายสุรชัย สุทธิธรรม นายกสมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ ส่วนแนวทางการแก้ปัญหา กรณีข้อกังวลของกระทรวงพาณิชย์ ด้านราคาจำหน่ายปลีกสุกรเนื้อแดง ที่จะกระทบค่าครองชีพผู้บริโภคนั้น ได้ข้อสรุป คือ ให้กรมการค้าภายใน ประสานขอความร่วมมือกับห้างค้าปลีกขนาดใหญ่ ประกอบด้วย Makro Lotus Big C ตรึงราคาเนื้อแดง (ที่ราคาเท่าไรให้ไปหารือ) เป็นเวลา 1 เดือน โดยตรวจสอบราคาปลีกห้างฯ วันนี้ประมาณ 120 บาทต่อกิโลกรัมทั้ง 3 ห้าง และเตรียมสินค้าเนื้อสุกรร่วมโครงการรถโมบายพาณิชย์ลดราคา ลดต้นทุนการเลี้ยง และระบาย Stock ข้าวเปลือก ให้กรมการค้าภายใน เป็นตัวกลาง เชิญสมาคมโรงสีข้าว สมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ สมาคมผู้ผลิตอาหารสัตว์ไทย และองค์การคลังสินค้า กระทรวงพาณิชย์(อคส.) เพื่อเจรจาต่อรองราคาที่เหมาะสม ใช้วัตถุดิบข้าวกะเทาะเปลือก เป็นวัตถุดิบทดแทน (คาดว่าภายในวันศุกร์นี้ 12 พฤศจิกายน 2564) ให้กรมปศุสัตว์ประสานฝ่ายเลขาท่านจุรินทร์ เพื่อเชิญประชุม คณะกรรมการอำนวยการ AFS แห่งชาติ เป็นกรณีเร่งด่วน เพื่อติดตามประเมินผลกระทบ และแผนฟื้นฟู ปี 2565 ที่มา : สมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ

รองจุรินทร์เข้าใจหมูแบกต้นทุนอาหารสัตว์และการป้องกันโรค เน้นดูแลผู้บริโภคผ่านห้างค้าปลีก และโครงการรถโมบายพาณิชย์ลดราคา Read More »

เอกชน จี้แก้ปัญหาวัตถุดิบอาหารสัตว์ หลังราคาพุ่งสูงกว่า 20-30%

สมาพันธ์ปศุสัตว์และเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ ระบุว่า ขอเรียกร้องให้รัฐบาลพิจารณาทบทวนผ่อนปรนมาตรการที่มีผลต่อการพัฒนาอุตสาหกรรมการเลี้ยงสัตว์และอุตสาหกรรมอาหาร เพื่อความเป็นธรรมของทุกฝ่ายในห่วงโซ่การผลิต ประกอบด้วย การยกเลิกภาษีนำเข้ากากถั่วเหลือง 2% และ ภาษีนำเข้า DDGS 9% (Dry distillers Grains with Solubles) ผลผลิตที่เหลือจากการผลิตเอทานอลด้วยข้าวโพดเพื่อนำไปผลิตอาหารสัตว์ ปรับลดสัดส่วนการซื้อข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในประเทศต่อการนำเข้าข้าวสาลี จากปัจจุบัน 3:1 เหลือ 1.5 : 1 และนำกลไกตลาดเสรีมาบริหารจัดการอุปสงค์-อุปทานวัตถุดิบอาหารสัตว์ ให้สอดคล้องกับปัจจัยและต้นทุนการผลิตในปัจจุบัน เพื่อลดภาระการขาดทุนสะสมของเกษตรกรและผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมการเลี้ยงสัตว์ของไทย ส่งเสริมห่วงโซ่การผลิตอาหารอย่างยั่งยืน ปัจจุบัน ไทยต้องการใช้ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ปีละ 8 ล้านตัน แต่ผลิตได้เพียง 5 ล้านตัน และนำเข้าส่วนต่าง 3 ล้านตันภายใต้มาตรการของรัฐ คือ กำหนดสัดส่วนนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ : ข้าวสาลี (วัตถุดิบทดแทนข้าวโพด) ในอัตรา 3:1 ขณะที่ผลผลิตข้าวโพดในประเทศมีเพียง 60% ของความต้องการต่อปี สัดส่วน 1.5 : 1 จึงเป็นสัดส่วนที่เหมาะสมให้ภาคปศุสัตว์บริหารต้นทุนเพื่อเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันในตลาดส่งออกได้ทั้งไก่สดแช่แข็งและอาหารสัตว์ นอกจากนี้ สัดส่วนดังกล่าวจะช่วยป้องกันการทุจริตจากการนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์จากประเทศเพื่อนบ้านมาสวมสิทธิ์ ทั้งนี้ รัฐบาลมีโครงการประกันรายได้เกษตรกรที่ราคา 8.50 บาท/กิโลกรัม ความชื้น 14.5% ขณะที่ภาคเอกชนรับซื้อในราคาให้ความร่วมมือกับภาครัฐที่ 8 บาท/กิโลกรัม (เกษตรกรได้รับการชดเชยส่วนต่างราคาจากรัฐบาล) และยังต้องซื้อข้าวโพดตามราคาตลาดที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากรัฐบาลไม่มีเพดานราคากำหนด  ขณะที่กากถั่วเหลืองมีการนำเข้าปีละ 2.5 ล้านตัน เนื่องจากผลผลิตในประเทศมีเพียง 50,000 ตัน ขณะที่ความต้องการใช้ทั้งเมล็ดและกากถั่วเหลืองอยู่ที่ 5 ล้านตัน ต่อปี เปรียบเทียบกับพืชเศรษฐกิจอื่นภายใต้โครงการประกันรายได้ของรัฐ เช่น ข้าว มันสำปะหลัง ยางพารา และปาล์มน้ำมัน มีมาตรการโปรงใสไม่ซับซ้อนเหมือนข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ และเมื่อราคาปรับสูงจนเกษตรกรมีรายได้เพียงพอ กลไกการตลาดจะทำงานโดยอัตโนมัติ การนำเข้าเพื่อแก้ปัญหาขาดแคลนสามารถทำได้โดยเสรี นอกจากนี้ รัฐบาลยังมีมาตรการและเครื่องมือทางการตลาดในการปกป้องผู้บริโภคจากการปรับราคาสินค้าตามต้นทุนการผลิตได้ เช่น โครงการธงฟ้า ที่สามารถตรึงราคาสินค้าเพื่อบรรเทาค่าครองชีพของประชาชนได้ สมาชิกสมาพันธ์ฯ ใช้อาหารสัตว์รวมกันประมาณ 90% ของการผลิตของประเทศ ได้รับความเดือดร้อนอย่างหนักจากภาระต้นทุนการผลิตที่ปรับเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง 20-30% ตั้งแต่ไตรมาสที่ 3 ปี 2563 จนถึงปัจจุบันราคาวัตถุดิบสูงสุดในรอบ 13 ปี ราคากากถั่วเหลืองปรับขึ้นจากกิโลกรัมละ 13 บาท เป็นกิโลกรัมละ 18-19 บาท ราคาข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ขยับสูงสุดในเดือนกันยายน 2564 ที่ 11.50 บาท/กก. จากราคาเฉลี่ย 8-9.50 บาท/กก. รวมถึงอาหารเสริม วิตามิน เกลือแร่ที่นำเข้าจากต่างประเทศ มีการปรับตัวสูงขึ้นกว่า 20-30% กระทบต่ออุตสาหกรรมการเลี้ยงสัตว์และอุตสาหกรรมผลิตอาหารสัตว์ ส่งผลให้ต้นทุนการผลิตอาหารสัตว์ปรับตัวขึ้นในระดับเดียวกัน นอกจากนี้ อาหารสัตว์เป็นต้นทุนการผลิต 60-70% ของการเลี้ยงสัตว์ และเป็นปัจจัยสำคัญในการพัฒนาห่วงโซ่อุตสาหกรรมการผลิตอาหาร โดยเฉพาะกากถั่วเหลืองและข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ เป็นวัตถุดิบหลักในสูตรอาหารสัตว์ ส่งผลให้เกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์ต้องแบกรับภาระต้นทุนที่สูงขึ้นดังกล่าวทั้งหมด รวมถึงต้นทุนที่เพิ่มขึ้นจากการบริหารจัดการฟาร์มเพื่อป้องกันความเสี่ยงจากโรคระบาดสัตว์  ขณะที่สถานการณ์วิกฤตโควิด 19 ทำให้ผู้เลี้ยงสัตว์ไม่สามารถขายและส่งออกผลผลิตได้ตามปกติ การรักษาสถานะของไทยในฐานะผู้ส่งออกอาหารรายใหญ่ของโลก รัฐบาลจำเป็นต้องดูแลตลอดห่วงโซ่การผลิตให้เกิดความเป็นธรรมโดยใช้กลไกการตลาดเสรีเป็นเครื่องในการสร้างสมดุลการค้าและการผลิต และนำมาตรการปกป้องผลประโยชน์ประเทศมาใช้อย่างสมเหตุสมผลโดยพิจารณาปัจจัยแวดล้อมของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียอย่างรอบด้านทุกมิติ  เพื่อการพัฒนาและการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศไทยอย่างยั่งยืน สมาพันธ์ปศุสัตว์และเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ เป็นการรวมตัวกันของ 13 สมาคม ประกอบด้วย สมาคมปศุสัตว์ไทย สมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ สมาคมส่งเสริมการเลี้ยงไก่แห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ สมาคมผู้ผลิตไก่เพื่อส่งออกไทยสมาคมผู้ผลิต ผู้ค้าและส่งออกไข่ไก่ สมาคมผู้ผลิตและแปรรูปสุกรเพื่อการส่งออก สมาคมผู้เลี้ยงเป็ดเพื่อการค้าและการส่งออก สมาคมสัตวบาลแห่งประเทศไทย สมาคมส่งเสริมผู้ใช้วัตถุดิบอาหารสัตว์ สมาคมผู้เลี้ยงไก่พันธุ์ สมาคมกุ้งไทย สมาคมผู้เพาะเลี้ยงปลาไทย และสมาคมผู้ผลิตอาหารสัตว์ไทย  เพื่อร่วมมือกันส่งเสริมและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน และแก้ปัญหาและอุปสรรคของอุตสาหกรรมปศุสัตว์ไทยและอุตสาหกรรมสัตว์น้ำไทย ที่มา : กรุงเทพธุรกิจ

เอกชน จี้แก้ปัญหาวัตถุดิบอาหารสัตว์ หลังราคาพุ่งสูงกว่า 20-30% Read More »

เฉลิมชัย” สั่งกรมปศุสัตว์ดันไทยรักษาสถานะปลอดโรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกร (ASF) หนึ่งเดียวในอาเซียน

เฉลิมชัย สั่งกรมปศุสัตว์ดันไทยรักษาสถานะปลอดโรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกร (ASF) หนึ่งเดียวในอาเซียนคุมเข้มการเคลื่อนย้ายสุกร หมูป่าหรือซากสุกร ซากหมูป่าในเขตเฝ้าระวังโรค     นายสัตวแพทย์สรวิศ ธานีโต อธิบดีกรมปศุสัตว์ กล่าวว่า ตามที่ ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้มอบนโยบายสร้างวิกฤติในโอกาส โดยสั่งการให้กรมปศุสัตว์ทำงานเชิงรุกป้องกันการแพร่ระบาดของโรคอหิวาต์แอฟริกาสุกร (African Swine Fever: ASF) ในพื้นที่ความเสี่ยงสูง โดยเฉพาะจังหวัดที่มีชายแดนติดกับประเทศเพื่อนบ้าน จนทำให้ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาประเทศไทยประสบความสำเร็จอย่างต่อเนื่องในการป้องกันการแพร่ระบาดโรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกร ส่งผลให้ประเทศไทยคงสถานะปลอดโรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกรเพียงประเทศเดียวในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แม้ว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคจะกระจายไปกว่า 34 ประเทศทั่วโลกแล้วก็ตาม ทำให้การส่งออกสุกรในปีที่ผ่านมาเพิ่มขึ้นมากกว่า 300% คิดเป็นมูลค่ากว่า 22,000 ล้านบาท และเชื่อมั่นว่าการส่งออกในปี 2564 นี้จะเพิ่มขึ้น เพื่อเป็นคงสถานะปลอดโรค ASF อย่างเข้มงวดต่อเนื่อง กรมปศุสัตว์จึงได้ร่างระเบียบกรมปศุสัตว์ ว่าด้วยหลักเกณฑ์ และเงื่อนไขการอนุญาตเคลื่อนย้ายสุกร หมูป่าหรือซากสุกร ซากหมูป่าเข้า ออก ผ่าน หรือภายในเขตเฝ้าระวังโรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกร พ.ศ.2564 โดยล่าสุดได้ประกาศลงเว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา และมีผลบังคับใช้ตั้งแต่ วันที่ 28 ตุลาคม 2564ระเบียบกรมปศุสัตว์ ว่าด้วยหลักเกณฑ์ และเงื่อนไขการอนุญาตเคลื่อนย้ายสุกร หมูป่าหรือซากสุกร ซากหมูป่าเข้า ออก ผ่าน หรือภายในเขตเฝ้าระวังโรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกร พ.ศ.2564 มีสาระสำคัญ ดังนี้ 1. การเคลื่อนย้ายสุกรมีชีวิตเพื่อเข้าโรงฆ่าสัตว์และนำไปเลี้ยง มีเงื่อนไขเพิ่มเติม1.1 กรณีฟาร์มปลายทางเคยพบความเสี่ยงสูงมาก ต้องทำลายมาแล้วไม่น้อยกว่า 3 เดือน และต้องเป็นฟาร์มมาตรฐาน GAP ขึ้นไป มีการใช้ตัวเฝ้าระวังในการทดสอบ (sentinel) ไม่น้อยกว่าร้อยละ 15 ของกำลังการผลิต เลี้ยงเป็นระยะเวลาไม่น้อยกว่า 6 สัปดาห์ และก่อนลงเลี้ยงจริงต้องมีการเก็บตัวอย่างพื้นผิวโรงเรือนเลี้ยงสุกร (surface swab) 2 ครั้ง ห่างกัน ครั้งละ 1 สัปดาห์​1.2 กรณีฟาร์มต้นทางเคยพบความเสี่ยงสูงมาก ต้องทำลายมาแล้วไม่น้อยกว่า 3 เดือน และต้องเก็บตัวอย่างสุกรที่ฟาร์มปลายทางหลังลงเลี้ยงวันที่ 1 และ 7 ครั้งละ 15 ตัวอย่าง​1.3 เฉพาะกรณีเคลื่อนย้ายข้ามเขต ต้องมีหลักฐานการพ่นน้ำยาฆ่าเชื้อจากสำนักงานปศุสัตว์จังหวัดหรือสำนักงานปศุสัตว์อำเภอ อย่างน้อย 1 หน่วยงาน​1.4 กรณีเคลื่อนย้ายเพื่อนำไปเลี้ยง ฟาร์มปลายทางต้องได้รับการรับรอง GFM ขึ้นไปเท่านั้น2. การเคลื่อนย้ายซากสุกรหรือหมูป่า ในวันที่เคลื่อนย้ายจริงต้องแนบใบ รน. ของซากชุดที่จะเคลื่อนย้ายไปพร้อมหนังสืออนุญาตเคลื่อนย้ายทุกครั้ง สำหรับพื้นที่พิเศษ (พื้นที่ที่มีการออกหนังสืออนุญาตเคลื่อนย้ายสุกรจำนวนมาก เช่น นครปฐม สมุทรปราการ สมุทรสาคร ขอนแก่น นครราชสีมา เป็นต้น) ต้องแจ้งแผนล่วงหน้า 14 วัน มีใบรับรองโรงฆ่า มีผล surface swab และผลตรวจซาก โดยการเก็บตัวอย่างซากดำเนินการโดยเจ้าหน้าที่กรมปศุสัตว์ทุกๆ 2 เดือน และการเก็บตัวอย่างสิ่งแวดล้อมในโรงฆ่าดำเนินการโดยเจ้าหน้าที่ปศุสัตว์ทุกเดือน3. การเคลื่อนย้ายสุกรหรือหมูป่ามีชีวิตผ่านคอกขายกลาง ให้สัตวแพทย์พื้นที่ต้นทางทำหนังสือแจ้งสถานที่ปลายทางถัดจากคอกกลางแก่สัตวแพทย์พื้นที่ที่คอกกลางตั้งอยู่ โดยแนบไปพร้อมหนังสืออนุญาตเคลื่อนย้ายอธิบดีกรมปศุสัตว์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ระเบียบกรมปศุสัตว์ฯ ฉบับนี้ เพื่อให้การปฏิบัติงานเกี่ยวกับการควบคุมการเคลื่อนย้ายสุกรหมูป่า หรือซากสุกร ซากหมูป่า เข้า ออก ผ่าน หรือภายในเขตเฝ้าระวังโรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกร ตามมาตรา 22 แห่งพระราชบัญญัติโรคระบาดสัตว์ พ.ศ.2558 เป็นไปในทิศทางเดียวกัน อันส่งผลให้การป้องกันและควบคุมโรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกรมีประสิทธิภาพมากขึ้น และไม่เป็นการสร้างภาระด้านค่าใช้จ่ายในการตรวจโรคแก่เกษตรกรมากเกินความจำเป็น รวมทั้งเป็นการช่วยให้การปฏิบัติงานในการคงสถานะปลอดโรค ASF ของประเทศไทยและรักษาความมั่นคงด้านอาหารของประเทศโดยเฉพาะในช่วงวิกฤตโควิด-19 ได้อย่างต่อเนื่อง

เฉลิมชัย” สั่งกรมปศุสัตว์ดันไทยรักษาสถานะปลอดโรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกร (ASF) หนึ่งเดียวในอาเซียน Read More »

จีนกว้านซื้ออาหารสัตว์ ดันต้นทุนวัตถุดิบกระฉูด

   “วัตถุดิบอาหารสัตว์” ราคาแพงข้ามปี หลังจีนแห่เลี้ยงมากขึ้น-พายุถล่มสหรัฐฉุดผลผลิตหด ส.ผู้ผลิตอาหารสัตว์ เตรียมหันใช้วัตถุดิบในประเทศมากขึ้น หวังลดต้นทุนเลี้ยงสัตว์ “ปลายข้าว-รำ-มัน” ส้มหล่น แหล่งข่าวจากสมาคมผู้ผลิตอาหารสัตว์ไทยเปิดเผยว่า สถานการณ์วัตถุดิบอาหารสัตว์ในไตรมาส 4 เช่น ข้าวโพดเพิ่มขึ้น 30% เฉลี่ยราคา กก.ละ 11-11.50 บาท จากปี 2563 ราคา กก.ละ 9 บาท ส่วนราคาถั่วเหลืองปรับเพิ่มขึ้น 25% เฉลี่ย กก.ละ 20 บาท จากปีที่ผ่านมาเฉลี่ย กก.ละ 15 บาท ส่งผลให้ต้นทุนในการผลิตอาหารสัตว์สูงขึ้น 10% นับตั้งแต่ไตรมาส 4 และต่อเนื่องไปยังไตรมาส 1 ของปี 2565 โดยปัจจัยที่ทำให้วัตถุดิบอาหารสัตว์ปรับราคาเพิ่มขึ้นเป็นผลมาจากผู้นำเข้ารายใหญ่อย่างจีน สถานการณ์เศรษฐกิจเริ่มฟื้นจากปัญหาโควิด-19 ส่งผลให้จีนมีความต้องการวัตถุดิบอาหารสัตว์มากขึ้นอย่างต่อเนื่อง และมีการนำเข้ามาสต๊อกไว้เพื่อใช้ภายในประเทศเพิ่มขึ้นตั้งแต่ปลายปี 2563 จนถึงกลางปีนี้ ขณะที่ประเทศผู้ผลิตวัตถุดิบ เช่น สหรัฐ บราซิล อาร์เจนตินา และสหราชอาณาจักร (ยูเค) เริ่มมีไม่เพียงพอต่อความต้องการ โดยเฉพาะสหรัฐ ซึ่งเป็นผู้ผลิตวัตถุดิบรายใหญ่สำคัญของโลก เช่น ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ถั่วเหลือง แม้ว่าจะขยายพื้นที่การเพาะปลูก เพื่อรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้น เมื่อต้นปี 2564 แต่ผลผลิตไม่ได้เป็นอย่างที่คาดการณ์ไว้เพราะได้รับผลกระทบจากพายุ แม้ราคาจะอ่อนตัวลงบ้างที่ในช่วงที่ผลผลิตออกในเดือนกรกฎาคม-สิงหาคม 2564 แต่ราคาวัตถุดิบยังคงมีแนวโน้มที่สูง ต้นทุนผู้ผลิตอาหารสัตว์ของไทยยังได้รับผลกระทบอย่างค่าเงินบาทที่อ่อนค่าตอนนี้ 34 บาทต่อเหรียญสหรัฐ ค่าระวางเรือที่สูงขึ้น ค่าน้ำมัน รวมเป็นต้นทุนค่าขนส่งการนำเข้าวัตถุดิบ ทำให้ราคาวัตถุดิบอาหารสัตว์ของไทยยังคงสูง ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ราคาซื้อ-ขายเฉลี่ย กก.ละ 4-5 บาท ช่วงกลางปี 2563 แต่เมื่อจีนเริ่มนำเข้า ราคาปัจจุบันปรับขึ้น เฉลี่ย กก.ละ 6-8 บาท หากคิดค่าจัดการขนส่ง เช่น หากส่งมาที่เวียดนามราคาก็ปรับขึ้นที่ กก.ละ 7 บาท คือ บวกต้นทุนอีก 2 บาท ถั่วเหลืองและกากถั่วเหลืองกก.ละ 12-13 บาท ขณะนี้ขึ้นเป็น กก.ละ 15-18 บาท กากถั่วเหลือง กก.ละ 18-19 บาท ซึ่งเป็นราคารวมค่าขนส่ง การจัดการแล้ว ข้าวสาลีเดิมเฉลี่ย กก.ละ 7-8 บาท ตอนนี้ กก.ละ 11-12 บาท และประเมินว่าจะมีราคานี้จนถึงไตรมาส 1 ปีหน้า ส่งผลให้แนวโน้มผู้ประกอบการอาหารสัตว์จะหันมาใช้วัตถุดิบในประเทศมากขึ้น เช่น ข้าวโพด มันสำปะหลัง และปลายข้าว ทั้งนี้ สัดส่วนความต้องการใช้อาหารสัตว์กว่า 90% อยู่ที่สัตว์บก และจะสูงสุดในช่วงไตรมาส 4 และไตรมาส 1 ซึ่งเป็นช่วงอากาศดีทำให้สัตว์กินอาหารได้มาก ส่วนสัตว์น้ำความต้องการอาหารสัตว์ต่อปีอยู่ที่ 5-6% ซึ่งกินน้อย และช่วงหน้าหนาวก็กินน้อยเนื่องจากอากาศเย็น อย่างไรก็ตาม ช่วงนี้เป็นช่วงที่ผลผลิตออกสู่ตลาดใกล้หมดแล้ว จำเป็นต้องรอดูว่าจะเริ่มการเพาะปลูกในปีหน้า แต่จากแนวโน้มจะรอการประเมิน “ยังคงสูง” ส่งผลให้ผู้ผลิตอาหารสัตว์หันมาใช้วัตถุดิบในประเทศมากขึ้น ทั้งข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ มันสำปะหลัง ส่วนปลาป่นปัจจุบันความต้องการใช้ลดลง เนื่องจากผู้นำเข้ามีมาตรฐานให้ผู้ผลิตอาหารสัตว์ลดการใช้เนื้อสัตว์เป็นวัตถุดิบในการผลิตอาหารสัตว์ โดยให้ไปใช้พืชแทน ส่งผลให้การใช้น้อยมาก ส่วนการใช้วัตถุดิบภายในประเทศ ทางผู้ผลิตอาหารสัตว์ต้องคำนึงถึงสารอาหารโปรตีน เนื่องจากวัตถุดิบบางตัวโปรตีนไม่มากพอ โดยวัตถุดิบที่มีโปรตีนมากสุด คือ ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ซึ่งผลผลิตประเทศไทยมีผลผลิตน้อยไม่เพียงพอต่อความต้องการ ทางสมาคมผู้ผลิตอาหารสัตว์อยู่ระหว่างการส่งเสริมปลูกมันสำปะหลังหลังนาเพื่อนำมาทดแทน คาดว่าจะมีการเพาะปลูกที่มากขึ้น แม้โปรตีนมันสำปะหลังจะน้อยเพียง 2% แต่ก็ช่วยลดการนำเข้าวัตถุดิบจากต่างประเทศ เนื่องจากราคายังคงสูงอยู่ เพราะต้นทุนการเลี้ยงสัตว์ 70% มาจากอาหารสัตว์ หากราคาอาหารสัตว์สูงขึ้น ย่อมมีผลกระทบต่อต้นทุนการเลี้ยงของกลุ่มผู้เลี้ยงได้ ต่อปีอาหารสัตว์ผลิตออกสู่ตลาดประมาณ 20 ล้านตัน ที่มา : ประชาชาติธุรกิจ

จีนกว้านซื้ออาหารสัตว์ ดันต้นทุนวัตถุดิบกระฉูด Read More »

ระบบไบโอซีเคียวริตี้” ป้องหมูซีพีปลอดโรค ผู้บริโภคปลอดภัย

CPF ผู้นำด้านเกษตรอุตสาหกรรมของไทย ชูมาตรฐานฟาร์มสุกรระบบไบโอซีเคียวริตี้ในการเลี้ยงสุกรซึ่งมีประสิทธิภาพสูงในการป้องกันโรคสัตว์ต่างๆ ขณะเดียวกัน ยังยกระดับการป้องกันโควิด-19 ให้พนักงานภายในฟาร์ม โดยวางระบบบับเบิลแอนด์ซีลและฉีดวัคซีนให้ทุกคน ป้องเชื้อโควิดเข้าพื้นที่ฟาร์ม 100% มั่นใจความปลอดภัยทั้งสุกรและคนเลี้ยง ผู้บริโภคสามารถบริโภคได้หมูซีพีได้อย่างสบายใจ    น.สพ.ดำเนิน จตุรวิธวงศ์ รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส ด้านวิชาการ สายธุรกิจสุกร CPF เปิดเผยว่า ปัจจุบันฟาร์มสุกรทั้งหมดของ CPF ดำเนินมาตรฐานฟาร์มตามแนวทางของกรมปศุสัตว์ และยกระดับสู่ “ระบบไบโอซีเคียวริตี้” เข้มข้นเรื่องการป้องกันโรคระบาดสัตว์ เพื่อเพิ่มความมั่นใจในการเลี้ยงสุกรปลอดโรค อันจะส่งผลให้ได้เนื้อหมูอนามัยที่ปลอดภัยต่อผู้บริโภค“CPF ให้ความสำคัญกับอาหารปลอดภัยตลอดห่วงโซ่การผลิต โดยในขั้นตอนของการเลี้ยงสุกร เป็นอีกข้อต่อที่สำคัญของความปลอดภัยทางอาหาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องการป้องกันโรคระบาดสัตว์ โดย CPF ได้ยกระดับมาตรฐานฟาร์มสุกรเข้าสู่ระบบไบโอซีเคียวริตี้แล้วทั้งหมด แม้จะมีความยุ่งยากในการดำเนินการ แต่สุดท้ายได้ประโยชน์อย่างยิ่งเมื่อสุกรทุกตัวในฟาร์มมีสุขภาพดีและปลอดโรค” น.สพ.ดำเนิน กล่าว     มาตรฐานฟาร์มสุกร CPF ในระบบไบโอซีเคียวริตี้ เป็นระบบการป้องกันเชื้อโรคเข้าสู่ฟาร์มที่ได้รับการยอมรับในระดับสากล ซึ่งประกอบด้วย การเลี้ยงสุกรในโรงเรือนระบบปิด ป้องกันสัตว์พาหะทั้งหนู นก แมลงต่างๆ โดยวัตถุดิบต่างๆ ที่นำมาใช้ภายในฟาร์มไม่ว่าจะเป็นอาหาร น้ำ หรืออื่นๆจะมีการตรวจสอบย้อนกลับไปถึงแหล่งที่มา ซึ่งทุกฟาร์มจะรับจากแหล่งที่ปลอดภัยเท่านั้น ทั้งยังต้องควบคุมรถขนส่งเข้า-ออกฟาร์มอย่างเข้มงวด รถทุกคัน-พนักงานทุกคนต้องผ่านระบบฆ่าเชื้อ เพื่อให้มั่นใจได้ว่าคนหรือพาหนะนั้นๆ จะไม่เป็นพาหะนำเชื้อโรคเข้าสู่ฟาร์ม รวมถึงการกำหนดจุดส่งมอบสุกรที่แยกจากฟาร์ม ทั้งนี้ไม่เพียงฟาร์มของบริษัทแต่ยังถ่ายทอดมาตรการการป้องกันโรคนี้ให้กับเกษตรกรในคอนแทรคฟาร์มมิ่งของบริษัทฯ ทั่วประเทศครบทุกรายแล้ว ยืนยันได้ในความปลอดภัยของกระบวนการผลิตสุกรเพื่อส่งมอบอาหารที่ปลอดภัยสู่ผู้บริโภคขณะเดียวกัน ในสถานการณ์โควิด CPF ยังยกระดับการป้องกันโรคขั้นสูงสุดให้แก่พนักงานในฟาร์มทุกคน ตั้งแต่การสำรวจและคัดกรองคนก่อนเข้าฟาร์ม การตรวจวัดอุณหภูมิร่างกาย มาตรการรักษาสุขอนามัย โดยพนักงานทุกคนที่เข้าฟาร์มต้องผ่านการตรวจอุณหภูมิของร่างกาย จุ่มเท้าฆ่าเชื้อ สเปรย์มือด้วยแอลกอฮอล์ สวมหน้ากากอนามัย รณรงค์สร้างความตระหนักด้านสุขอนามัยส่วนบุคคลให้แก่พนักงาน หมั่นล้างมือด้วยน้ำ สบู่ แอลกอฮอล์ มาตรการรักษาความสะอาดโดยทำความสะอาดพื้นที่ที่มีการสัมผัสหรือใช้ร่วมกันด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อหรือแอลกอฮอล์ รวมทั้งทำความสะอาดจุดสัมผัสร่วมต่างๆ ของพื้นที่และสิ่งของภายในฟาร์มทั้งก่อนและหลังการใช้งาน ตลอดจนการฉีดวัคซีนป้องกันโควิดให้พนักงานทุกคน    “ลักษณะของฟาร์ม เป็นสถานที่อากาศถ่ายเท และไม่มีพนักงานจำนวนมาก ดังนั้น การจัดการเรื่องการเว้นระยะห่างจึงทำได้อย่างมีประสิทธิภาพ เมื่อผนวกกับระบบไบโอซีเคียวริตี้ในฟาร์มมาตรฐาน จึงมั่นใจได้ว่าสุกรทุกตัวของ CPF มีความแข็งแรง ปลอดโรคและปลอดภัยต่อการบริโภค” น.สพ.ดำเนิน กล่าว./

ระบบไบโอซีเคียวริตี้” ป้องหมูซีพีปลอดโรค ผู้บริโภคปลอดภัย Read More »

เว็บไซต์นี้มีการจัดเก็บคุกกี้เพื่อมอบประสบการณ์การใช้งานเว็บไซต์ให้แก่ท่านได้ดียิ่งขึ้น รวมถึงทำให้สามารถมอบข้อเสนอ กิจกรรมส่งเสริมการขาย เลือกเนื้อหาให้เหมาะสมแก่ท่านอย่างเป็นส่วนตัวได้ การเก็บและใช้งานคุกกี้สามารถศึกษาได้ที่นโยบายการใช้คุกกี้นี้ การใช้งานเว็บไซต์นี้จะมีการจัดเก็บคุกกี้ประเภทต่าง ๆ ซึ่งท่านต้องยอมรับและยินยอมให้บริษัทฯ จัดเก็บ. (เรียนรู้เพิ่มเติม)