cpffeed

เลี้ยงไก่ไข่อย่างไรให้คุ้มทุน และมีกำไร วิธีง่ายๆ ที่ไม่ควรมองข้าม

คนไทยมีการบริโภคไข่ไก่ เฉลี่ย 260 ฟอง/ปี แต่ราคาไข่ไก่หน้าฟาร์มยังคงผันผวนตลอดปี จากเหตุการณ์ดังกล่าวส่งผลกระทบโดยตรงต่อผู้ผลิต หรือเกษตรกรผู้เลี้ยงไก่ไข่ เพราะฉะนั้นเกษตรกรผู้เลี้ยงไก่ไข่จะมีวิธีรับมือกับสถานการณ์อย่างไร และจำเป็นต้องศึกษาต้นทุนของการเลี้ยงว่ามีอะไรบ้างกับ 4 ข้อหลักที่อยากแนะนำ 1. วัตถุดิบอาหาร คิดเป็น 70% ของต้นทุนการเลี้ยง หากต้องการประหยัดต้นทุน ถ้าเลี้ยงจำนวนไม่มาก ให้ซื้อหัวอาหาร (อาหารสำเร็จรูป) นำมาผสมเอง ซึ่งไก่ไข่เป็นสัตว์ที่สามารถเลี้ยงแบบอินทรีย์ได้ ผสมหยวกกล้วย ผักต่างๆ ที่ปลูกเองให้กินเสริมจะช่วยประหยัดต้นทุนได้มาก แต่ถ้าเลี้ยงเชิงอุตสาหกรรม หรือการเลี้ยงในเชิงพาณิชย์ (จำนวนมาก) เกินกว่าจะหาวัตถุดิบจากธรรมชาติได้ ก็ให้เลือกซื้ออาหารสำเร็จรูปจากบริษัทที่ได้มาตรฐาน ราคาพอยอมรับได้ 2. น้ำ คิดเป็น 5% ของต้นทุน ให้เลือกแหล่งน้ำจากธรรมชาติ แล้วบำบัด ฆ่าเชื้อให้น้ำสะอาด ไม่ต้องลงทุนมาก โดยการใช้น้ำประปา ใช้น้ำบนดิน น้ำบ่อ ที่ไหลมาจากแม่น้ำ หรือห้วย ลำคลอง มีแค่ภาชนะหรือแทงก์ใส่น้ำ ไว้สำหรับพักน้ำ ซึ่งเพียงพอต่อการเตรียมน้ำไว้ให้ไก่กิน โดยจะเสียค่าใช้จ่ายน้ำยาตกตะกอน และคลอรีนเท่านั้น   3. ยา วิตามิน เสริมบำรุง คิดเป็น 10% ของต้นทุนการเลี้ยง ให้เน้นที่การป้องกันมากกว่าการรักษา เพียงแค่คอยสังเกตความผิดปกติของไก่ เลี้ยงลูกยังไง ให้เลี้ยงไก่อย่างนั้น เอาใจใส่ หากเขามีอาหาร น้ำ เพียงพอ ไม่เครียดต่อสิ่งเร้ารอบข้าง ผู้เลี้ยงแทบไม่ต้องใช้ยาเลย แต่หากจำเป็นต้องใช้ก็ให้เลือกใช้เท่าที่จำเป็นกับโรคที่สำคัญๆ และเสริมวิตามินในช่วงอากาศเปลี่ยนแปลง หรืออากาศแปรปรวน และการเกิดอาการตกใจ ไม่ใช้ปริมาณยามากเกินไป จนกลายเป็นงบสิ้นเปลือง 4. ค่าเสื่อมโรงเรือน อุปกรณ์การเลี้ยง ค่าจ้าง ค่าเสียเวลา และอื่นๆ เป็นต้นทุนทั้งหมด คิดเป็น 15% ฉะนั้นต้องทำบัญชีรายรับ-รายจ่าย หรือสมุดบันทึกในการจดรายการรายจ่ายตั้งแต่เริ่มเลี้ยง และทุกวันที่ใช้จ่าย ทำให้สามารถคำนวณต้นทุนได้ หากผู้เลี้ยงไก่ไข่เลี้ยงแบบมีการวางแผน จะทำให้ได้ผลผลิตที่ดี ได้ไข่จำนวนมากขึ้นและสวย สามารถยืนพีคได้นาน สรุปการเลี้ยงไก่ไข่ให้มีกำไรได้นั้น ต้องขายไข่ให้ได้มากที่สุดด้วย ดังนั้น ตลาด ถือเป็นเรื่องที่สำคัญ หากเลี้ยงจำนวนน้อย แนะนำหาตลาดใกล้บ้าน จะทำให้ประหยัดค่าน้ำมันและค่าขนส่งค่าได้ แต่หากเลี้ยงจำนวนมาก ต้องมีตลาดรองรับ เพราะไก่ไข่จะออกไข่ทุกวัน หากเกิดภาวะไข่ล้นหรือขายไม่ได้ จะก่อให้เกิดปัญหาตามมาแน่นอน!!!

เลี้ยงไก่ไข่อย่างไรให้คุ้มทุน และมีกำไร วิธีง่ายๆ ที่ไม่ควรมองข้าม Read More »

เดินหน้ายกระดับคุณภาพชีวิตคนโคนม สานต่ออาชีพพระราชทาน

   กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เดินหน้ายกระดับคุณภาพชีวิตเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนม ด้วยโครงการธนาคารโคนมทดแทนฝูง ช่วยให้มีความอุดมสมบูรณ์พันธุ์ สุขภาพแข็งแรง ลดความเสี่ยงในการระบาดของโรค การผลิตน้ำนมดีขึ้นทั้งปริมาณและคุณภาพ น้ำนมมีคุณภาพสูง ช่วยให้เกษตรกรได้รับราคาที่ดี พร้อมรองรับปริมาณน้ำนมดิบที่เพิ่มขึ้น ด้วยการจัดตั้งโรงแปรรูปผลิตภัณฑ์นมและศูนย์เรียนรู้กิจการโคนมแบบครบวงจรภาคเหนือตอนบน หลังให้เยาวชนรุ่นใหม่และบุตรหลานเกษตรกรกลับมาให้ความสนใจการทำอาชีพการเลี้ยงโคนมเพิ่มขึ้น และพึ่งพาตนเองได้   คุณมนัญญา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังตรวจเยี่ยมโครงการจัดตั้งโรงแปรรูปผลิตภัณฑ์นมและศูนย์เรียนรู้กิจการโคนมแบบครบวงจรภาคเหนือตอนบน อำเภอห้างฉัตร จังหวัดลำปาง ว่า จากการที่อาชีพเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนม เป็นอาชีพพระราชทานจากในหลวง รัชกาลที่ 9 ตั้งแต่ปี 2505 ซึ่งกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยองค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย (อ.ส.ค.)ได้สานต่อการพัฒนาอาชีพนี้ พร้อมร่วมส่งเสริมพัฒนาวงการโคนม และอุตสาหกรรมนมไทยมาอย่างต่อเนื่อง    อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันเกษตรกรไทยส่วนใหญ่มีอายุค่อนข้างมากและก้าวสู่สังคมผู้สูงอายุ ส่งผลให้การประกอบอาชีพเกษตรกรรมมีประสิทธิภาพลดลง ขณะที่เยาวชนรุ่นใหม่และบุตรหลานเกษตรกรได้ให้ความสนใจเข้าสู่ภาคอุตสาหกรรมเพิ่มมากขึ้น ทำให้การสานต่ออาชีพเกษตรกรรมจากบรรพบุรุษมีแนวโน้มลดลง ซึ่งการเลี้ยงโคนมก็เป็นหนึ่งอาชีพที่กำลังเผชิญปัญหาดังกล่าวเช่นกัน องค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย (อ.ส.ค.) ในฐานะองค์กรหลักที่มีบทบาทในการส่งเสริมและพัฒนาการเลี้ยงโคนมของไทยมาอย่างต่อเนื่อง จึงต้องกำหนดแนวทางพัฒนาเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมให้มีความเข้มแข็งและสามารถพึ่งพาตนเองได้ ซึ่งจะเป็นการสืบสานอาชีพการเลี้ยงโคนมให้มีความมั่นคงและเกิดความยั่งยืนต่อไปด้วย นอกจากนี้ ยังได้ให้ความสำคัญกับการส่งเสริมการตลาด โดยพยายามให้นมของ อ.ส.ค. ส่งไปได้ทั่วโลก และพยายามทำให้เป็นฮาลาลด้วย โดยต้องปรับปรุงให้เป็นไปตามบทบัญญัติของโลก เพื่อหาช่องทางในการส่งออกไปตลาดโลกที่หลากหลายเพิ่มมากขึ้น    จากนั้นได้เยี่ยมชมโรงงานนมเชียงใหม่ที่ อ.ส.ค. ได้ขยายกำลังการผลิตนมพาสเจอร์ไรส์ โดยนำไปปรับปรุงในส่วนของโรงงาน ระบบการผลิต และเครื่องจักรใหม่ ปัจุบันการผลิตภัณฑ์นมพาสเจอร์ไรส์มีแนวโน้มการเติบโตเพิ่มสูงขึ้นตามความต้องการของตลาดอย่างต่อเนื่อง ดังนั้น การลงทุนในการปรับปรุงและการขยายไลน์ผลิตนมพาสเจอร์ไรส์ที่โรงงานนม อ.ส.ค. จังหวัดเชียงใหม่ จึงเป็นสิ่งสำคัญ เพราะทำให้รองรับปริมาณน้ำนมดิบจากสหกรณ์โคนมและเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมจากทางภาคเหนือได้มากขึ้น เนื่องจากปริมาณน้ำนมดิบภาคเหนือมีปริมาณเพียงพอและมีมากกว่ากำลังการผลิตเดิมที่เคยผลิตได้ 15 ตัน/วัน ขยายเป็น 30 ตัน/วัน     จึงทำให้ อ.ส.ค. สามารถรับซื้อน้ำนมดิบจากเกษตรกรได้มากขึ้นอีกเท่าตัว เมื่อกำลังการผลิตนมพาสจอร์ไรส์สูงขึ้น จะสามารถส่งผลิตภัณฑ์ออกสู่ตลาดเพิ่มขึ้นด้วย จึงเป็นการช่วยเพิ่มศักยภาพการแข่งขันในตลาดเชิงรุกให้แก่ตัวแทนจำหน่ายผลิตภัณฑ์นมไทย-เดนมาร์ค ที่สามารถกระจายผลิตภัณฑ์นมพาสเจอร์ไรส์ให้เข้าถึงและทั่วพื้นที่ภาคหนือ รวมถึงภูมิภาคอื่น ๆ ทั่วประเทศได้ นอกจากนี้ ผลิตภัณฑ์นมพาสจอร์ไรส์ไทย-เดนมาร์ค ยังมีการวางแผนที่จะขยายตลาดไปยังกลุ่มโรงแรม ร้านอาหาร ร้านกาแฟ ตลอดจนร้านนมต่าง ๆ ในพื้นที่ภาคเหนืออีกด้วย     ตามนโยบายของ นายกรัฐมนตรี (พลเอกประยุทธ จันทร์โอชา) ที่มีความห่วงใยเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนม จึงได้มอบหมายให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นำโดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน) ที่มอบหมายให้มาขับเคลื่อนนโยบายเพื่อดูแลพี่น้องเกษตรกรโคนมให้สามารถประกอบอาชีพได้อย่างมั่นคง และได้เล็งเห็นถึงความสำคัญของการจัดตั้งโรงงานแปรรูปผลิตภัณฑ์นมขนาดใหญ่ และจัดตั้งศูนย์เรียนรู้กิจการโคนมครบวงจร เพื่อรองรับปริมาณน้ำนมดิบที่คาดว่าจะเกินความต้องการในปี 2563 จึงได้มอบหมายองค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย (อ.ส.ค.) พิจารณาแนวทางการดำเนินการแก้ไขปัญหาดังกล่าว ได้แก่ 1) การจัดตั้งโรงงานแปรรูปผลิตภัณฑ์นม ที่ดำเนินการโดย อ.ส.ค. เพื่อรองรับผลผลิตน้ำนมดิบที่เพิ่มขึ้นตามที่รัฐบาลได้จัดทำโครงการเพิ่มศักยภาพการผลิตของเกษตรกรเป็นฟาร์มขนาดกลางและขนาดใหญ่ และ 2) การจัดตั้งศูนย์เรียนรู้กิจการโคนมครบวงจร ที่ประกอบด้วย ศูนย์ Feed Center เพื่อเป็นแหล่งสนับสนุนอาหารโคนมในราคาต้นทุนต่ำ ศูนย์เลี้ยงโคนมทดแทน เพื่อเป็นการแบ่งเบาภาระของเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมในการนำโคทดแทนมาเลี้ยงยังศูนย์แทน ตามข้อจำกัดด้านแรงงาน สร้างแรงจูงใจให้คนรุ่นใหม่สานต่ออาชีพของครอบครัว และการสร้าง Smart Farm เพื่อเป็นแหล่งเรียนรู้ ศึกษาดูงานด้านกิจการโคนมระดับนานาชาติ สำหรับการดำเนินการที่ผ่านมา ได้มีการแต่งตั้ง “คณะอนุกรรมการเพื่อศึกษาแนวทางและรูปแบบโครงการจัดตั้งโรงงานแปรรูปผลิตภัณฑ์นมและศูนย์เรียนรู้กิจการโคนมแบบครบวงจรภาคเหนือตอนบน อำเภอห้างฉัตร จังหวัดลำปาง” โดยมีที่ปรึกษาโครงการส่วนพระองค์สวนจิตรลดา (นายวิเชียร ผลวัฒนสุข) เป็นประธานอนุกรรมการ ซึ่งจากการดำเนินงานอย่างต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน ได้มีการพิจารณาพื้นที่ที่เหมาะสมในการจัดตั้งโครงการบริเวณเดียวกัน การศึกษาทบทวนโครงการพร้อมออกแบบโรงงานแปรรูปผลิตภัณฑ์นมฯ อีกทั้งยังได้มีการรับมอบสัญญาเช่าที่ราชพัสดุจากกรมธนารักษ์ โดยมีการลงนามข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) ระหว่างกรมพัฒนาที่ดิน กับ อ.ส.ค. เมื่อวันที 26 มิถุนายน 2562 ที่ผ่านมา ทั้งนี้ การเลี้ยงโคนมในพื้นที่จังหวัดภาคเหนือตอนบน ส่วนใหญ่อยู่ในพื้นที่ 3 จังหวัด คือ จังหวัดเชียงใหม่ ลำพูน และลำปาง ที่เป็นฐานการผลิตน้ำนมดิบที่สำคัญและคุณภาพดีที่สุดของประเทศไทย มีการรวมตัวกันจัดตั้งเป็นสถาบันเกษตรกร ประกอบด้วย สหกรณ์ผู้เลี้ยงโคนม 18 สหกรณ์ บริษัทเอกชน 4 แห่ง โรงงานนม 5 แห่ง มีเกษตรกรรวม 1,403 ราย จำนวนประชากรโดนมทั้งหมด 64,147 ตัว และมีปริมาณน้ำนมดิบที่ผลิตได้ 8,990 ตันต่อเดือน หรือ 299.7 ตันต่อวัน และมีแนวโน้มปริมาณน้ำนมดิบของสหกรณ์เพิ่มขึ้นทุกปีในปี 2559 เฉลี่ย 350 ตันต่อวัน โดยมีอัตราการเติบโตของน้ำนมดิบปริมาณในปี 2558 และ 2559 ประมาณ 5 – 6 เปอร์เซ็นต์ คาดว่าในปี 2563 จะมีปริมาณน้ำนมดิบประมาณ 400 ตันต่อวัน นอกจากนี้ ยังมุ่งหวังยกระดับคุณภาพชีวิตของเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนม จึงได้มีการจัดสรรงบประมาณของกรมส่งเสริมสหกรณ์ ในปี 2560 ให้สหกรณ์โคนมลำพูน จำกัด ตามโครงการพัฒนาการดำเนินธุรกิจและสินค้าของสหกรณ์ผู้เลี้ยงโคนม ภายใต้การเชื่อมโยงเครือข่ายธุรกิจและการตลาดภายใต้ห่วงโซ่การผลิตนมทั้งระบบ จำนวน 5.950 ล้านบาท เพื่อการดำเนินการโครงการธนาคารโคนมทดแทนฝูง เพื่อรับฝากลูกโคเพศเมีย และถอนคืนเป็นโคสาวท้อง เพื่อให้เกษตรกรสมาชิกลดภาระการเลี้ยงลูกโคในฟาร์ม เพิ่มประสิทธิภาพการผลิตจากการจัดการด้านอาหารที่เหมาะกับโคตามช่วงวัย ให้เกษตรกรสมาชิกมีแม่โคที่มีคุณภาพไปทดแทนโคนมปลดระวาง และลดต้นทุนการผลิต ส่งผลให้สมาชิกมีรายได้เพิ่มขึ้น ในปีงบประมาณ 2561 ได้จัดสรรงบประมาณจำนวน 2.934 ล้านบาท ในโครงการส่งเสริมการใช้เครื่องจักรกลทางการเกษตร โดยมีวัตถุประสงค์ คือ 1) เพื่อสนับสนุนเครื่องจักรกลทางการเกษตรให้กับสถาบันเกษตรกรเพื่อให้บริการแก่สมาชิก 2) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการของสถาบันเกษตรกรในการบริหารจัดการ และอำนวยความสะดวกในการให้บริการเครื่องจักรกลทางการเกษตรแก่สมาชิก โดยจัดหาอุปกรณ์พร้อมเครื่องผลิตอาหาร TMR ให้แก่ลูกโคสาวในโครงการธนาคารโคนมทดแทนฝูง การดำเนินการของสหกรณ์ ทำให้เกษตรกรสมาชิกมีรายได้จากการขาย/ฝากลูกโคให้แก่ธนาคาร เฉลี่ยตัวละ 18,388 บาท โคที่นำมาฝากธนาคารให้น้ำนมเร็วขึ้น 105 วัน ๆ ละ 14 กิโลกรัม ราคากิโลกรัมละละ 18 บาท เป็นเงิน 26,460 บาท มีรายได้จากการจำหน่ายน้ำนมวันละ 14 กิโลกรัม ราคากิโลกรัมละ 18 บาท ระยะเวลา 200 วัน เป็นเงิน 50,400 บาท รวมรายรับทั้งสิ้น 95,248 บาท สูงกว่าเกษตรกรที่เลี้ยงโคในฟาร์มของตนเองถึง 14,368 บาท และในด้านของรายจ่าย เกษตรกรสมาชิกมีรายจ่ายจากการถอนคืนโคสาวท้อง 5 เดือน จากธนาคารโคในราคาเฉลี่ย 45,114 บาทต่อตัว เลี้ยงต่ออีก 4 เดือน มีค่าใช้จ่ายเพิ่ม 8,197 บาท รวมค่าใช้จ่าย 53,311 บาทต่อตัว ซึ่งหากเปรียบเทียบการเลี้ยงโคในฟาร์มของเกษตรกรจนถึงผสมเทียมแล้วคลอด รวม 30 เดือน เกษตรกรจะมีค่าใช้จ่ายเฉลี่ย 60,000 บาทต่อตัว จะเห็นว่าสมาชิกที่นำโคมาฝากเลี้ยงในธนาคาร มีค่าใช้จ่ายต่ำกว่าเกษตรกรที่เลี้ยงโคในฟาร์มตนเองถึง 6,689 บาทต่อตัว อย่างไรก็ตาม ข้อดีของการเลี้ยงโคในธนาคารโคนมทดแทนฝูง ทำให้โคมีความอุดมสมบูรณ์พันธุ์ สุขภาพแข็งแรง ลดความเสี่ยงในการระบาดของโรค การผลิตน้ำนมดีขึ้นทั้งปริมาณและคุณภาพ น้ำนมมีคุณภาพสูง และน้ำนมที่ได้มีคุณภาพ ส่งผลให้เกษตรกรได้รับราคาที่ดีตามไปด้วย ทั้งนี้ สหกรณ์โคนมลําพูน จํากัด ได้เข้าร่วมโครงการระบบส่งเสริมการเกษตรแบบแปลงใหญ่ แปลงใหญ่โคนมตำบลห้วยยาบ ในปี 2561 มีจำนวนประชากรโคทั้งหมด 4,796 ตัว ประกอบด้วย โครีดนม 1,915 ตัว ปริมาณน้ำนมเฉลี่ย 12 – 13.05 กิโลกรัม/ตัว/วัน มีสมาชิกที่ส่งน้ำนมดิบให้สหกรณ์ จำนวน 91 ราย ได้รับมาตรฐานฟาร์ม (GAP) จำนวน 72 ราย สหกรณ์จะดำเนินการทำมาตรฐานฟาร์มให้แล้วเสร็จภายใน 30 เมษายน 2563 ปริมาณน้ำนมดิบที่รวบรวมได้ 23 – 25 ตัน/วัน สหกรณ์มีการทำ MOU ที่จะจำหน่ายให้แก่ผู้ประกอบการผลิตภัณฑ์นม ในปี 2562 – 2563 จำนวน 24.208 ตัน/วัน ได้แก่ บริษัทแดรีพลัส จำกัด 20 ตัน/วัน บริษัทซีพี เมจิ จำกัด 2.208 ตัน/วัน องค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทยสำนักงานภาคเหนือตอนล่าง (อ.ส.ค.) สุโขทัย 2 ตัน/วัน   รายการแนะนำ

เดินหน้ายกระดับคุณภาพชีวิตคนโคนม สานต่ออาชีพพระราชทาน Read More »

ซีพีเอฟ จับมือเบอร์ 1 ด้านน้ำเชื้อโคและเทคโนโลยีตรวจจับสัดแม่นยำ มุ่งพัฒนาปรับปรุงการเลี้ยงโคไทยให้เป็นไปอย่างก้าวกระโดด

   นายพูนศักดิ์ ทองพิทักษ์ รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส ผู้บริหารกิจการอาหารโค ธุรกิจอาหารสัตว์บก ซีพีเอฟ กล่าวว่า ซีพีเอฟในฐานะที่เป็นผู้ผลิตอาหารสัตว์ของโลก จับมือกับองค์กรเบอร์ 1 ของโลกด้านน้ำเชื้อโค อย่าง World Wide Sires หรือ WWS และผู้นำด้านเทคโนโลยีของไทยอย่าง ทรู ดิจิทัล กรุ๊ป ที่ได้นำเทคโนโลยีการจับสัดดิจิตัล ของ Allflex จะช่วยให้เราข้ามผ่านขีดจำกัดต่างๆ ของอุตสาหกรรมการเลี้ยงโคนม ปัจจัยแห่งความสำเร็จในการเลี้ยงสัตว์ ประกอบด้วย อาหารดี สายพันธุ์ดี การจัดการดี รวมทั้งการนำเทคโนโลยีทันสมัย และนวัตกรรมระดับโลก ทั้งน้ำเชื้อคุณภาพจาก WWS และเทคโนโลยีจับสัดจากทรูดิจิตัลกรุ๊ป มาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพด้านการเลี้ยงโค ในการแจ้งเตือนภาวะการเป็นสัด คำนวณช่วงเวลาการผสมติด รวมทั้งการติดตามปัญหาด้านสุขภาพของโค    จากการตรวจวัดพฤติกรรมและความเป็นอยู่ของโค ช่วยลดเวลาในการบริการจัดการฟาร์ม ช่วยลดรายจ่าย เพิ่มรายได้ และช่วยให้เกษตรกรโคนมรุ่นใหม่ที่สนใจทำฟาร์มโคนม มีตัวช่วยมากขึ้น ขยายฟาร์มได้อย่างรวดเร็ว มีเวลาเพื่อไปบริหารจัดการงานในส่วนอื่นๆ ได้มากขึ้น ทั้งนี้ บริษัทฯ ได้เพิ่มการให้บริการในรูปแบบสมาชิก เป็นครั้งแรก เปิดโอกาสให้เกษตรกรไทยเข้าถึงนวัตกรรมระดับโลกที่เป็นประโยชน์ปัจจุบันเรากำลังทดลองระบบนี้ที่ฟาร์มวังม่วง ซึ่งเป็นฟาร์มในเครือซีพีเอฟ และเป็นศูนย์เรียนรู้เพื่อถ่ายทอดเทคโนโลยีนี้สู่เกษตรกรลูกค้าอาหารโคของเราต่อไป” นายพูนศักดิ์ กล่าว    นายสก๊อต รูบี้ (Mr. Scott Ruby) รองกรรมการผู้จัดการด้านขายและการตลาด World Wide Sires (WWS) บริษัทน้ำเชื้อระดับโลก กล่าวว่า พร้อมจะนำความรู้ แบ่งปันประสบการณ์ มอบให้เกษตรกรโคไทย และร่วมมือกับ CPF ซึ่งเป็นบริษัทฯ ที่มีความพร้อมทั้งบุคลากร ความรู้ความชำนาญ และยังใกล้ชิดกับเกษตรกรโค โดยมีความเป้าหมายที่สอดคล้องกัน คือการส่งมอบความสำเร็จที่ยั่งยืนให้กับเกษตรกร     นายอริญชย์ พฤกษานุศักดิ์ ธุรกิจไอโอทีและดิจิทัลโซลูชัน บริษัท ทรู ดิจิทัล กรุ๊ป จำกัด กล่าวว่า ทรู ผนึกกำลังพันธมิตรกับ AllFlex (ออลเฟล็กซ์) ซึ่งเป็นผู้พัฒนาดิจิทัลโซลูชั่นด้านการเกษตรที่มีประสบการณ์ในการบริหารจัดการฟาร์มปศุสัตว์ในหลายประเทศทั่วโลก เปิดตัวโซลูชั่นติดตามพฤติกรรมปศุสัตว์ครั้งแรกในประเทศไทยสำหรับเกษตรกรและผู้ทำฟาร์มโค โดยสามารถติดตามสุขภาพโคและปศุสัตว์ ตรวจสอบและแสดงผลสุขภาพด้านต่างๆ ของโค อาทิ รอบการผสมพันธุ์ รูปแบบการเคี้ยว อารมณ์ของวัว เป็นต้น    ขณะเดียวกัน ยังร่วมมือกับ ซีพีเอฟ นำร่องการใช้งานโซลูชั่นดังกล่าว เพื่อเป็นต้นแบบให้เกษตรกรได้ศึกษาและนำไปใช้ในฟาร์มโคทั่วประเทศ ช่วยให้เจ้าของฟาร์มสามารถวางแผนกระบวนการผลิตได้อย่างแม่นยํา เพื่อพัฒนาคุณภาพผลผลิตนมโคให้มีมาตรฐานมากขึ้นสำหรับโซลูชันติดตามพฤติกรรมปศุสัตว์ เป็นหนึ่งในนวัตกรรมสำหรับอุตสาหกรรมการเกษตร (Agriculture) ซึ่ง ซีพีเอฟ และทรูดิจิตัล กรุ๊ป ที่ได้ร่วมกันพัฒนาการให้บริการในรูปแบบสมาชิก (Subscription Model) เป็นรายแรกของไทย เพื่อช่วยให้เกษตรกรลดค่าใช้จ่ายในการเข้าถึงเทคโนโลยีในการเพิ่มประสิทธิภาพฟาร์ม เพิ่มผลผลิต และลดต้นทุน ทั้งยังสามารถแก้ไขปัญหาของเกษตรกรไทยได้อย่างตรงจุด เพื่มขีดความสามารถของอุตสาหกรรมฟาร์มโคของประเทศไทยในระยะยาว   นายเอเนอร์ ยาคอบบิ (Mr.Aner Yacobi) ผู้จัดการพื้นที่เอเซียตะวันออกเฉียงใต้ บริษัท แอนเทลลิค คอร์ปอเรชั่น จำกัด (ออลเฟล็กซ์) กล่าวว่า บริษัทฯ มีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ร่วมกับ ทรู ดิจิทัล กรุ๊ป ซึ่งมีบริการด้านไอโอทีและดิจิทัลโซลูชันที่ครบวงจร นำดิจิทัลโซลูชันด้านการบริหารจัดการปศุสัตว์ เป็นกุญแจสำคัญช่วยตอบโจทย์ความต้องการของเกษตรกรไทย และความท้าทายที่เกษตรกรเผชิญอยู่ในปัจจุบัน. รายการแนะนำ

ซีพีเอฟ จับมือเบอร์ 1 ด้านน้ำเชื้อโคและเทคโนโลยีตรวจจับสัดแม่นยำ มุ่งพัฒนาปรับปรุงการเลี้ยงโคไทยให้เป็นไปอย่างก้าวกระโดด Read More »

ผลกระทบทางเศรษฐกิจของ coronavirus 2019

ฉบับนี้เราจะคุยกันถึงเรื่องที่ทันสมัยต่อเหตุการล่าสุดที่เป็นข่าวช็อคโลกของเราในวันนี้ คือเรื่องการระบาดของโรคปอดอักเสบจากโคโรน่าไวรัส อู่ฮั่น ซึ่งเกิดโรคขึ้นครั้งแรกเมื่อสิงหาคม 2562  เริ่มระบาดในเดือนธันวามคม 2562   จนกระทั่งวันที่ 31 มกราคม 2563 องค์การอนามัยโลก(WHO )ได้ประกาศภาวะฉุกเฉินของโรคระบาดโคโรน่าไวรัสอู่ฮั่น เป็นโรคระบาดที่ต้องเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด  ซึ่งถือเป็นวิกฤตการณ์ของโรคระบาดจากไวรัสอีกครั้งหนึ่ง  และส่งผลกระทบทางด้านเศรษฐกิจทั่วโลก  ดังจะมีบทวิเคราะห์ผลกระทบทางเศรษฐกิจโดย Mr.Raphie Hayat  และคณะ ของทาง RABO BANK  ดังนี้ ผลกระทบทางเศรษฐกิจของ coronavirus 2019 coronavirus ที่กำลังแพร่กระจายในประเทศจีนและเกินขอบเขตมีตลาดการเงินสั่นสะเทือนประสบการณ์ที่ผ่านมาการระบาดของไวรัสในอดีตแสดงให้เห็นว่าตลาดมักจะเด้งกลับมาอย่างรวดเร็ว ผลกระทบทางเศรษฐกิจต่อประเทศจีนขึ้นอยู่กับความสามารถของรัฐบาลจีนในการควบคุมไวรัสและการดำเนินนโยบายเพื่อลดผลกระทบ แม้ว่าการระบาดของไวรัสจะออกมาเทียบเท่ากับโรคซาร์ส แต่ผลกระทบทางเศรษฐกิจทั่วโลกน่าจะมีขนาดใหญ่กว่าในปี 2545/2546 เนื่องจากจีนมีส่วนแบ่งทางเศรษฐกิจในระดับโลกมากขึ้นทุกวันนี้ยิ่งกว่านั้นเศรษฐกิจเชื่อมโยงกันมากขึ้นกว่าเมื่อ 17 ปีก่อน ด้วยการเติบโตของเศรษฐกิจโลกในช่วงชะลอตัวไวรัสเป็นอีกความเสี่ยงที่สนับสนุนมุมมองของเราว่าเราจะเห็นภาวะถดถอยทั่วโลกในปีนี้และธนาคารกลางในตลาดที่พัฒนาแล้วน่าจะมีงานทำอีกมากในด้านมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ณ จุดนี้เราไม่ได้คาดหวังว่าจะเกิดความเสียหายถาวรต่อการแพร่ระบาดของเศรษฐกิจจีนหรือภูมิภาคอื่น ๆ ทั่วโลกในอดีตเศรษฐกิจได้แสดงให้เห็นถึงการสูญเสียชั่วคราวหลังจากฝุ่นตกลงมา แม้ว่าวิกฤตการณ์ในปัจจุบันจะทำให้ยากขึ้นสำหรับจีนที่จะดำเนินตามคำมั่นสัญญาล่าสุดที่จะทำให้ยอดการนำเข้าสินค้าและบริการของสหรัฐฯเพิ่มขึ้น 200 พันล้านเหรียญสหรัฐในอีกสองปีข้างหน้า แต่เราไม่คาดว่าจะมีผลกระทบเชิงลบเพิ่มเติมต่อสหรัฐฯ ความสัมพันธ์ทางการค้าในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งของข้อตกลงระบุชัดเจนยกเว้นในกรณีที่เกิดภัยพิบัติทางธรรมชาติ อย่างไรก็ตามในกรณีที่มีการแพร่กระจายของไวรัสไปทั่วโลกหรือในกรณีที่มีการผิดนัดชำระหนี้ในกลุ่ม บริษัท ที่ไม่ใช่สถาบันการเงินที่มีหนี้สูงของจีนเนื่องจากมาตรการกักกันความเสี่ยงของความเสียหายถาวรจะเพิ่มขึ้นอย่างมาก สำหรับเนเธอร์แลนด์ผลกระทบน่าจะเป็นทางอ้อมผ่านการเติบโตการค้าและความเชื่อมั่นทั่วโลกอย่างไรก็ตามภาคเฉพาะที่จัดหาอุปกรณ์ทางทะเลเครื่องจักรและสารเคมีให้หวู่ฮั่นก็สามารถได้รับผลกระทบ ในกิจกรรมพิเศษนี้เราจะพิจารณาถึงผลกระทบทางเศรษฐกิจที่อาจเกิดขึ้นจาก coronavirus ที่ได้รับผลกระทบจากจีนตั้งแต่ปลายปี 2562 เรารู้อะไรบ้างเกี่ยวกับ coronavirus 2019 coronavirus 2019 เริ่มต้นในเมืองหวู่ฮั่น (จังหวัดหูเป่ย) และอยู่ในกลุ่มเดียวกันของไวรัสเช่นเดียวกับโรคซาร์สและ MERS[1]ในกรณีส่วนใหญ่ไวรัสเหล่านี้ทำให้เกิดอาการไม่รุนแรงเช่นมีไข้ไอและหายใจถี่ (อ้างอิงจากองค์การอนามัยโลก ) เนื่องจากโรคซาร์สได้รบกวนประเทศจีนมาก่อน (ในช่วงปลายปี 2545 และ 2546) ดูเหมือนว่าเป็นเรื่องธรรมดาที่จะเปรียบเทียบสถานการณ์กับตอนนี้ อย่างไรก็ตามก่อนที่เราจะทำเช่นนั้นเราควรเน้นว่าอาจมีความแตกต่างที่สำคัญระหว่างโรคซาร์สและโรคหลอดเลือดสมองในปี 2019 (ตารางที่ 1) เนื่องจากเรายังอยู่ในช่วงเริ่มต้นของการรับรู้ อันดับแรกจากข้อมูลปัจจุบัน 201 coronavirus ดูเหมือนจะตายน้อยกว่าโรคซาร์ส ในกรณีที่โรคซาร์สมีอัตราการตาย (จำนวนผู้เสียชีวิตต่อจำนวนผู้ได้รับผลกระทบ) 10% จำนวนผู้ป่วยล่าสุดของ coronavirus ในปี 2019 บ่งชี้ว่าอัตราการตายลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ประการที่สองแม้ว่าจะยังไม่ชัดเจนว่า coronavirus 2019 นั้นติดต่อได้ง่ายกว่าโรคซาร์สหรือไม่ (ทั้งคู่คาดว่าจะแพร่กระจายไปในอากาศ) ดูเหมือนว่ามันจะแพร่กระจายเร็วกว่าโรคซาร์ส การระบาดของโรคซาร์สในปี 2545-2546 นำไปสู่ผู้ป่วยที่ได้รับผลกระทบทั้งหมด 8,000 รายภายในระยะเวลา 8 เดือนโดยที่ coronavirus 2019 นั้นมีจำนวนใกล้เคียงกันภายในสองสัปดาห์ ตารางที่ 1: การเปรียบเทียบสั้น ๆ ของสาม coronaviruses ที่มา: WHO, Wikipedia, CDC, Johns Hopkins University CSSE เวลาฟักตัวซึ่งเป็นเวลาที่ใช้สำหรับอาการของไวรัสต่อพื้นผิวของ coronavirus 2019 นั้นยาวกว่าโรคซาร์ส นี่คือความแตกต่างที่สำคัญเนื่องจากผู้คนสามารถมี coronavirus และส่งต่อโดยไม่รู้ตัวว่าป่วย มีรายงานผู้ป่วยนอกประเทศจีนเพิ่มขึ้นจำนวนมากโดยเฉพาะในประเทศไทย (NY Times มีแผนที่ดีแสดงให้เห็น) ในขณะเดียวกันคณะกรรมการฉุกเฉินขององค์การอนามัยโลกจะได้รับการฟื้นฟูในวันนี้เพื่อตัดสินว่าวิกฤตินี้เป็น ‘เหตุฉุกเฉินด้านสาธารณสุขของความกังวลระหว่างประเทศ’ หรือไม่ ตลาดการเงินมีปฏิกิริยาอย่างไรต่อการระบาดของโรค? ตลาดการเงินมีปฏิกิริยาตอบโต้อย่างรุนแรงต่อการระบาดของไวรัส แต่ก็ยังไม่ถึงกับผิดปกติ ตลาดหุ้นเริ่มปรับตัวลงในเอเชียเป็นครั้งแรก แต่ตลาดอื่น ๆ ก็ตามอย่างรวดเร็ว ในขณะเดียวกันดัชนี Hang Seng ได้หายไปประมาณ 6% ตั้งแต่วันศุกร์ที่แล้ว (รูปที่ 2) สำหรับ S&P การสูญเสียนั้นเรียบง่ายกว่า 1% การสูญเสียมีความสำคัญมากขึ้นเมื่อเทียบกับจุดสูงสุดในตลาดหุ้นหลายแห่งเมื่อวันที่ 17 มกราคมเนื่องจากความเชื่อมั่นที่สูงขึ้นจากข้อตกลงการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีน จากความเชื่อมั่นที่ลดลงความต้องการสินทรัพย์ที่ปลอดภัยเช่นคลังสหรัฐได้รับแรงกระตุ้นทำให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปีลดลงต่ำกว่า 1.6% ซึ่งระดับที่สูงกว่า 1.8% ยังคงถูกบันทึกในสัปดาห์แรกของเดือนมกราคม (รูปที่ 3) แม้ว่าการลดลงเมื่อวานนี้ (-5bp) ส่วนใหญ่จะเป็นการประชุม FOMC นอกจากนี้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐและเงินเยนของญี่ปุ่นแข็งค่าขึ้นในขณะที่สกุลเงินในตลาดเกิดใหม่จำนวนมากได้อ่อนตัวลง ราคาน้ำมันปรับตัวลดลงอย่างรวดเร็วสะท้อนความเชื่อมั่นที่อ่อนตัวลงและความกังวลว่าการระบาดของไวรัสและมาตรการกักกันจะทำให้ความต้องการน้ำมันและวัตถุดิบอื่น ๆ ของจีนลดลง (รูปที่ 4) โดยรวมแล้วตลาดได้รับการสั่นสะเทือนอย่างชัดเจน ด้วยความไม่แน่นอนเกี่ยวกับความรุนแรงและการแพร่กระจายของการระบาดทั่วโลกมันเร็วเกินไปที่จะตัดสินว่าตลาดจะฟื้นตัวจากความสูญเสียเหล่านี้ได้ทุกเวลาในไม่ช้า รูปที่ 1: ความเชื่อมั่นของตลาดฟื้นตัวอย่างรวดเร็วหลังจากโรคซาร์ส รูปที่ 2: ตลาดตราสารทุนถูกต้องตามที่ข่าวไวรัส 2019-nCov กระทบหัว รูปที่ 3: ราคาน้ำมันปรับตัวลงอย่างรวดเร็วอุปสงค์ที่ปลอดภัยช่วยดึงอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐ รูปที่ 4: สินค้าโภคภัณฑ์อื่น ๆ ก็ประสบเช่นกัน ความหมายทางเศรษฐกิจ: เวลานี้แตกต่างกันหรือไม่ ในช่วงที่มีการระบาดของโรคซาร์สประเทศจีนประสบกับกิจกรรมทางเศรษฐกิจอย่างรุนแรง (รูปที่ 5) การคำนวณของเราแสดงให้เห็นว่าการเติบโตรายเดือนลดลงจากประมาณ 10% (yoy) ต้นปี 2003 เป็น 6.6% ที่จุดสูงสุดของวิกฤตโรคซาร์ส การเดินทางทางบกทางน้ำและทางรถไฟลดลง 50% (yoy) ปริมาณการขนส่งสินค้าลดลง 15% (yoy) ภาคการท่องเที่ยวได้รับผลกระทบเช่นกัน อย่างไรก็ตามเศรษฐกิจดีดตัวขึ้นค่อนข้างเร็วหลังจากที่มีการระบาดของโรคเกิดขึ้นเพื่อชดเชยการสูญเสียครั้งก่อน สิ่งนี้ชี้ให้เห็นว่าการแพร่ระบาดของโรคซาร์สไม่ได้มีผลกระทบด้านลบต่อกำลังการผลิต รูปที่ 5: ความเสียหายทางเศรษฐกิจเป็นเพียงชั่วคราวในอดีต แต่มันจะเป็นในครั้งนี้ด้วยหรือไม่ คาดว่าผลกระทบทางเศรษฐกิจของ coronavirus 2019 คำถามในขณะนี้คือการแพร่ระบาดของโรคในปัจจุบันจะส่งผลให้เกิดผลกระทบทางเศรษฐกิจชั่วคราว (เท่านั้น) หรือไม่ สำหรับการเริ่มเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้ส่วนใหญ่จะได้รับบาดเจ็บตั้งแต่สอดคล้องระบาดของโรคไวรัสที่มีระยะเวลารอบตรุษจีน (25 มกราคมTH ) ซึ่งมีแนวโน้มที่จะเป็นช่วงเวลาที่แข็งแกร่งสำหรับยอดค้าปลีก นอกจากนี้มณฑลหูเป่ย (ซึ่งเป็นที่ตั้งของเมืองที่ได้รับผลกระทบ) เป็นส่วนหนึ่งของจีดีพีของจีน (4%) และเมืองหลวง (หวู่ฮั่น) เป็นศูนย์กลางการขนส่งที่สำคัญและเป็นผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่อันดับสองของจีน จากประสบการณ์ของโรคซาร์สและจากข้อมูลที่เรามีอยู่ตอนนี้เราคิดว่าผลกระทบชั่วคราวของ GDP ประมาณ 1-2% นั้นเป็นการประมาณการที่สมเหตุสมผล หากสิ่งนี้ถูกชดเชยส่วนใหญ่จากการเติบโตที่สูงขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี 2020 ผลกระทบโดยรวมต่อการเติบโตของจีดีพีประจำปีอาจยังคงมีข้อ จำกัด อยู่ สิ่งที่เกิดขึ้นในไตรมาสแรกนั้นขึ้นอยู่กับความรุนแรงของการระบาดของไวรัสความสามารถของรัฐบาลจีนในการควบคุมและการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลเพื่อชดเชยความเสียหายทางเศรษฐกิจ เมื่อนำปัจจัยเหล่านี้มารวมกันรูปภาพจะดูไม่เป็นสีดอกกุหลาบโดยเฉพาะ ความรุนแรงของการระบาดยังคงไม่แน่นอนและการปิดตัวของเมืองใหญ่ ๆ ในมณฑลหูเป่ย์ (แม้ว่าจะเป็นเชิงรุกและรวดเร็ว) อาจไม่ส่งผลกระทบมากนักหากไวรัสได้ติดเชื้อหลายคนนอกพื้นที่กักกัน นอกจากนี้แม้ว่าเราคาดหวังว่ารัฐบาลจีนจะกระตุ้นเศรษฐกิจ (ผ่านนโยบายการเงินหรือการคลัง) แต่เราก็ยังสงสัยว่ามันจะมีประสิทธิภาพเพียงใดหากความเชื่อมั่นของผู้บริโภคมีความรุนแรง ความตึงเครียดทางการค้าเป็นอย่างไร? ในที่สุดเราไม่คาดหวังให้ coronavirus สร้างความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีน ในข้อตกลงระยะที่หนึ่งที่ลงนามเมื่อเร็ว ๆ นี้ระหว่างจีนและสหรัฐฯจีนได้ให้คำมั่นที่จะเพิ่มการนำเข้าสินค้าและบริการของสหรัฐภายในปีถัดไป 200 พันล้านในอีกสองปีข้างหน้า (ระดับการนำเข้าสินค้าและบริการของสหรัฐฯในปี 2560) ด้วยความล่าช้าที่อาจเกิดขึ้นจากไวรัสทำให้จีนอาจไม่สามารถทำตามคำสัญญานี้ได้ หากเป็นกรณีนี้เราคาดว่าจะได้รับการตอบรับเล็กน้อยจากสหรัฐฯ ข้อตกลงระยะที่หนึ่งนั้นชัดเจน เกี่ยวกับการเกิดเหตุการณ์หรือภัยพิบัติที่ไม่คาดคิด (ข้อ 7.6):“ ในกรณีที่ภัยพิบัติทางธรรมชาติหรือเหตุการณ์ที่ไม่สามารถคาดการณ์ได้อื่น ๆ ที่อยู่นอกการควบคุมของคู่ภาคีทำให้ภาคีล่าช้าจากการปฏิบัติตามพันธกรณีภายใต้ข้อตกลงนี้ อื่น ๆ อันที่จริงใคร ๆ ก็สามารถเถียงได้ว่าการระบาดของโรคไวรัสอาจเป็นข้อแก้ตัวที่สมบูรณ์แบบสำหรับประเทศจีนที่จะไม่ดำเนินชีวิตตามคำมั่นสัญญาของตนแม้ว่ามันอาจจะเป็นการทำลายความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ – จีนจากมุมมองระยะกลาง ความเสียหายถาวร? คำถามคือว่าการแพร่ระบาดของโรคในปัจจุบันสามารถทิ้งรอยถาวรไว้ที่เศรษฐกิจจีนหรือไม่หรือถ้ามันแพร่ขยายออกไปมากขึ้นเศรษฐกิจโลก ความเสียหายทางเศรษฐกิจถาวรมักเกิดขึ้นในกรณีที่เกิดภาวะช็อกทางด้านอุปทาน ซึ่งหมายความว่าปัจจัยด้านอุปทานเมืองหลวงคือแรงงานและเทคโนโลยีได้รับผลกระทบอย่างถาวรจากเหตุการณ์รุนแรงเช่นสงครามอาวุธภัยพิบัติทางธรรมชาติวิกฤตการณ์ทางการเงินหรือการแพร่ระบาดทั่วโลกหรือโรคระบาด ณ จุดนี้การระบาดของโคโรนาอยู่ใกล้กับการระบาดใหญ่และการระบาดใหญ่ดังกล่าวควรได้รับการพิจารณาว่าเป็นสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุด แต่ภายใต้สถานการณ์ดังกล่าวมีความเสี่ยงสูงต่อความเสียหายทางเศรษฐกิจถาวร การระบาดในอดีตที่ผ่านมาเช่นโรคระบาดในช่วงกลาง 14 THศตวรรษหรือไข้หวัดใหญ่สเปนในปี 2461-2463 แสดงให้เห็นว่าเหตุการณ์เหล่านี้สามารถทำให้เศรษฐกิจอ่อนแอ ยกตัวอย่างเช่นไข้หวัดใหญ่สเปนประชากรวัยทำงานของสหรัฐฯหดตัวลงราวครึ่งล้านคนในช่วงระยะเวลาหนึ่งปี (รูปที่ 6) รูปที่ 6: ประชากรวัยทำงานในสหรัฐอเมริกาลดลง 500,000 คน อีกช่องทางสำคัญที่ความเสียหายทางเศรษฐกิจถาวรอาจเกิดขึ้นได้คือการลดระดับทุนต่อคนงานหรือการทำลายทุน ในประเทศจีนสิ่งนี้อาจเกิดขึ้นได้หาก บริษัท ที่ไม่ใช่สถาบันการเงินที่มีหนี้มาก (โดยเฉพาะในภาคการผลิต) จะล้มละลายเนื่องจากการกักกัน ภาระหนี้ของ บริษัท ที่ไม่ใช่สถาบันการเงินของจีนพุ่งสูงขึ้นในช่วง 20 ปีที่ผ่านมาสู่กว่า 150% ของจีดีพี บริษัท เหล่านี้พึ่งพาการเติบโตทางเศรษฐกิจสูงเพื่อให้บริการหนี้นี้ หากการเติบโตในระดับสูงนี้สิ้นสุดลงแม้จะเป็นช่วงเวลาสั้น ๆ แต่ บริษัท ที่มีภาระหนี้สูงเช่นนี้อาจพบว่าเป็นการยากที่จะปฏิบัติตามภาระหน้าที่ของตนโดยไม่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาล อันที่จริงรัฐบาลอาจให้การสนับสนุนเช่นนี้โดยอาจปล่อยให้ธนาคารกลางจีนสูบสภาพคล่องในระบบแม้ว่ามันจะมีความเสี่ยงต่อเงินเฟ้อที่สูงขึ้น ท้ายที่สุดหากการเคลื่อนย้ายทุนมนุษย์ความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติและการค้าได้รับผลกระทบในระยะเวลาที่นานกว่านี้จะส่งผลกระทบในทางลบต่อการเติบโตของผลิตภาพและการติดตามด้านเทคโนโลยี เศรษฐกิจโลกจะได้รับผลกระทบอย่างไร? เมื่อเทียบกับการระบาดของโรคซาร์สปี 2545/2546 ผลกระทบทางเศรษฐกิจทั่วโลกของ coronavirus 2019 มีแนวโน้มว่าจะรุนแรงขึ้น พูดง่ายๆคือจีนเป็นประเทศที่ใหญ่กว่ามากและมีความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจกับโลกมากขึ้นและมีความเสี่ยงมากกว่าเมื่อ 17 ปีที่แล้ว ในปี 2546 จีนคิดเป็นเพียง 7.5% ของจีดีพีโลกขณะนี้คิดเป็นมากกว่า 20% (รูปที่ 7) ดังนั้นผลกระทบทางเศรษฐกิจต่อจีนน่าจะมีผลกระทบทั่วโลกมากกว่าที่เคยเป็นเมื่อ 17 ปีก่อน ประเทศจีนได้กลายเป็นพันทางเศรษฐกิจโลกมากขึ้นการจราจรทางอากาศระหว่างประเทศของจีนเพียง 5 ล้านในปี 2000 ในขณะที่มันเกือบ 55 ล้านในขณะนี้ (รูปที่ 8) นักท่องเที่ยวชาวจีนมีสัดส่วนการท่องเที่ยวเป็นจำนวนมากเช่นประเทศไทย (30%) และออสเตรเลีย (15%) ประเทศจีนได้กลายเป็นส่วนสำคัญของห่วงโซ่คุณค่าระดับโลกซึ่ง (หากมีการหยุดชะงัก) อาจมีผลกระทบสำคัญกับ บริษัท ระหว่างประเทศ นอกจากนี้จีนยังมีความเสี่ยงมากกว่าตอนนี้เมื่อ 17 ปีที่แล้ว: มีหนี้สินสูงกว่ามากความตึงเครียดทางการค้ากับคู่ค้ารายใหญ่และการเติบโตของ บริษัท ชะลอตัวลงอย่างต่อเนื่องมาหลายปี ส่วนผสมเหล่านี้ไม่เป็นลางดีสำหรับเศรษฐกิจโลกหากการระบาดของโรค coronavirus ยังคงมีอยู่ผลกระทบจะเกิดขึ้นแม้ว่าการเจริญเติบโตของโลกการค้าและห่วงโซ่คุณค่าระดับโลกรวมถึงในภาคส่วนเฉพาะเช่นการขนส่งและการท่องเที่ยว โดยรวมแล้วเมื่อมีการเติบโตทางเศรษฐกิจโลกในช่วงชะลอตัวไวรัสเป็นความเสี่ยงอีกประการหนึ่งที่สนับสนุนมุมมองของเราว่าเราจะเห็นภาวะถดถอยทั่วโลกในปีนี้และธนาคารกลางของตลาดที่พัฒนาแล้วอาจมีงานที่ต้องทำอีกมากมาย รูปที่ 7: จีนใหญ่ขึ้นมาก … รูปที่ 8: …และอีกหลายพันทั่ว เนเธอร์แลนด์ได้รับบาดเจ็บหรือไม่? ณ ขณะนี้ยังไม่มีกรณียืนยันไวรัสในเนเธอร์แลนด์ เราคิดว่าผลของการระบาดของโรคต่อ บริษัท ดัตช์ส่วนใหญ่จะเป็นทางอ้อมผ่านการเติบโตทางเศรษฐกิจทั่วโลกและความเชื่อมั่น ในฐานะเศรษฐกิจเปิดที่ค่อนข้างเล็กเนเธอร์แลนด์มีความอ่อนไหวต่อการค้าโลก (ซึ่งจะได้รับบาดเจ็บ) บทบาทของเนเธอร์แลนด์ในฐานะประตูสู่ยุโรปสำหรับจีนทำให้ภาคการขนส่งโดยเฉพาะอาจได้รับผลกระทบ แต่ยังมี บริษัท อื่น ๆ ในภาคที่มีการเปิดรับเมืองที่ถูกปิดเช่นหวู่ฮั่น ตัวอย่างเช่นประเทศเนเธอร์แลนด์ (อ้างอิงจากองค์กรองค์กรเนเธอร์แลนด์ ) นำเข้าสิ่งทอโทรศัพท์มือถือและอุปกรณ์การแพทย์จากหวู่ฮั่นและส่งออกอุปกรณ์ทางทะเลเครื่องจักรและสารเคมีไปยังเมือง บริษัท ดัตช์ที่นำเข้าหรือจัดหาสินค้าเหล่านี้มีแนวโน้มที่จะได้รับผลกระทบ F&A: ผลกระทบต่ออาหารและการเกษตรอาจมีอายุสั้น coronavirus เพิ่มความไม่แน่นอนให้กับอุตสาหกรรมอาหารและการเกษตรขนาดใหญ่ของจีน เนื่องจากไม่ทราบถึงจังหวะและขนาดของการเพิ่มของไวรัสและกรอบเวลาจนกระทั่งสถานการณ์อยู่ภายใต้การควบคุมอย่างเต็มที่จึงควรพิจารณาทบทวนประสบการณ์บางอย่างที่เกิดขึ้นระหว่างการระบาดของโรคซาร์ส ในช่วงเหตุการณ์ส่วนใหญ่ภาคบริการอาหารประสบผลกระทบเชิงลบ และสิ่งนี้สามารถคาดการณ์ได้ในส่วนที่มีการระบาดของโรค coronavirus เช่นหลายโซ่กาแฟแล้วประกาศปิดร้านค้าจำนวนมากชั่วคราว ในช่วงที่โรคซาร์สผลกระทบด้านลบต่อภาคบริการอาหารส่งผลดีต่อภาคการค้าปลีกเนื่องจากผู้บริโภครับประทานอาหารที่บ้านมากขึ้น ด้วยการปรับปรุงเนื่องจากโรคซาร์สในอีคอมเมิร์ซและการส่งอาหารบางส่วนของภาคบริการอาหารอาจได้รับประโยชน์มากกว่าในช่วงที่โรคซาร์ส ดังนั้นแม้อาจมีการเปลี่ยนแปลงชั่วคราวว่าผู้คนบริโภคอย่างไร เมื่อพิจารณาจากประสบการณ์ของโรคซาร์ส แต่ชัดเจนขึ้นอยู่กับขนาดและความยาวของการระบาดของโรค coronavirus ผลกระทบต่อ F&A อาจมีอายุสั้น จากการดูข้อมูลการบริโภคและการนำเข้าที่สำคัญของจีนแสดงให้เห็นว่าในช่วงที่โรคซาร์สไม่มีการชะลอตัวของอุปสงค์อย่างมีนัยสำคัญเช่นเนื้อสัตว์น้ำมันพืชและธัญพืชและเมล็ดพืชน้ำมันถูกบันทึกไว้และการนำเข้าสินค้าเกษตรส่วนใหญ่ยังคงเติบโต ถึงกระนั้นก็ตามราคาสินค้าโภคภัณฑ์เกษตรโลกในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมามีความผันผวนเนื่องจาก coronavirus มักจะสอดคล้องกับการเคลื่อนไหวที่เห็นในสินทรัพย์ประเภทอื่นโดยเฉพาะราคาน้ำมันดิบ ราคาน้ำมันปาล์มที่การแลกเปลี่ยนในประเทศมาเลเซียมีปฏิกิริยาลดลงอย่างรวดเร็วตามมาด้วยการฟื้นตัวซึ่งสามารถอธิบายได้โดย 1) จีนเป็นผู้นำเข้าน้ำมันปาล์มรายใหญ่อันดับสามของโลกนำเข้า 14% ของน้ำมันปาล์มเพื่อการค้าทั้งหมด โปรแกรมควบคุมราคา 2) น้ำมันปาล์มถูกนำมาใช้ในการผลิตเชื้อเพลิงชีวภาพ (1 ใน 3 ของการผลิตไบโอดีเซลทั่วโลกใช้น้ำมันปาล์มเป็นวัตถุดิบ) และการเปลี่ยนแปลงของพลังงานและราคาน้ำมันดิบยังรวมถึงราคาของเชื้อเพลิงชีวภาพและวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิตเชื้อเพลิงชีวภาพเหล่านั้น

ผลกระทบทางเศรษฐกิจของ coronavirus 2019 Read More »

ตลาดสุกร และความต้องการเนื้อสุกร

    ฉบับที่แล้ว  เราคุยกันถึงเรื่องการผลิตไก่เนื้อทั่วโลก  ในฉบับนี้เราจะขอคุยเรื่องของตลาดสุกร และความต้องการเนื้อสุกรบ้างครับ  โดยใช้ข้อมูลอ้างอิงของ  บริษัท GENESUS  ซึ่งเป็นริษัทช้นนำของโลกเรื่องการปรับปรุงพันธุ์สุกร ดังนี้ครับ จากบทวิเคราะห์ของ  Mr.Jim Long ,CEO of Genesus  Inc.     ข้อสังเกตุของบริษัท  พบว่า โรงแปรรูปสุกรของสหรัฐเอง มีการผลิต ถึง 2,713,000 ตัน ในสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งเพิ่มขึ้นจากช่วงวันหยุดในเทศกาลปีใหม่  ซึ่งทางบริษัทเคยคาดการณ์ว่า ตลาดน่าจะลดลง  แต่ก็ไม่เป็นตามที่คาดการณ์     ราคลูกสุกร  หย่านม ในสหรัฐ  อยู่ที่ 61.46 Dollars  ในขณะที่ ลูกสุกร น้ำหนัก 40 ปอนด์ เพิ่มขึ้น 6 dollars เป็น 67.60 Dollars  ซึ่งเกิดจากความต้องการที่เพิ่มมากกว่า 70%      การส่งออกสุกรของสหรัฐ ในเดือนพฤศจิกายน 2562 ก็สามารถทำสถิติสูงสุดที่เคยมีมาก่อนหน้านี้ โดยเพิ่มขึ้น 26%  เมื่อเทียบกับปีก่อน  และเพิ่มขึ้น 11% เมื่อเทียบกับเดือนกรกฏาคม 2562 ที่เคยส่งออกสูงสุดมาแล้ว ในเดือนพฤศจิกายน 2562 มีการส่งออกสูงถึง 259,812 ตัน  หรือคิดเป็นสุกรมากกว่า 3  ล้านตัว  โดยมีตลาดใหญ่อยู่ที่ฮ่องกง ถึง 86,213 ตัน ซึ่งเพิ่มขึ้นถึง 284% จากปีที่ผ่านมา         สัปดาห์ที่3 ของเดือนมกราคม  รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรของเยอรมนี  รายงานว่ามีการระบาดของโรคอหิวาห์อัฟริกาในสุกร(ASF) ในประเทศโปแลนด์ ซึ่งห่างจากชายแดนเยอรมนีเพียงแค่ 20 กิโลเมตร  ถ้าหากว่า โรคนี้ระบาดเข้ามาในเยอรมนี  การเปลี่ยนแปลงจะเกิดขึ้น ผลกระทบจะมีมาก  เนื่องจาก ประเทศจีนนำเข้าสุกรจากเยอรมัน 16 – 18%  ของการนำเข้าสุกรทั้งหมด  ซึ่งปัจจุบัน ทางประเทศจีนงดเว้นการนำเข้าสุกรจากประเทศ รัสเซีย,โปแลนด์,ยูเครน เป็นต้น    สนธิสัญญาว่าด้วยเรื่องภาษีการค้าระหว่างสหรัฐกับจีน เฟศแรก ที่จะมีขึ้นในวันที่ 15 มกราคม 2563 นี้ คาดว่าเรื่องสุกรและสินค้าเกษตรน่าจะเป็น หัวข้อหลักในสนธิสัญญานี้  หลังจากการเซ็นสัญญา คาดว่ารายละเอียดคงตามมา   สรุปภาวะตลาดสุกร ปี 2019  ดังนี้   สืบเนื่องจากความต้องการท่สูงขึ้นของจีน ทำให้ราคาสุกรเพิ่มขึ้น ทำให้ผู้ผลิตสุกรในประเทศฝรั่งเศษ ทำกำไรได้มากที่สุดในปี 2019  นับตั้งแต่ปี 1992 เป็นต้นมา  ราคาเนื้อสุกรเฉลี่ยอยู่ที่ 1.496 ปอนด์ต่อกิโลกัม(carcass) หรือ 1.669 ดอลล่าร์ สหรัฐ เมื่อเปรียบเทียบกับปี 2018  เพิ่มขึ้น 30 เซน ต่อกิโลกัม หรือ ราวๆ25%   ราคาลูกสุกรหย่านม น้ำหนัก 25 กิโลกรัม  อยู่ที่ 2.20 ปอนด์ต่อกิโลกรัม (2.45 ดอลล่าร์)   สิ่งที่คาดการณ์ในปี 2020 คือ?   ราคาเนื้อสุกรยังคงยืนแข็งตัวต่อเนื่อง จากสาเหตุของโรคระบาดอหิวาห์แอฟริกาในสุกร  ที่ระบาดทั่วไปในประเทศจีน เวียตนาม  เกาหลีใต้   ส่วนในประเทศทางยุโรป เช่น เยอรมนี   ฝรั่งเศษ  คงต้องมีการเข้มงวดเรื่องของการป้องกันโรค ASF  อย่างเต็มที่

ตลาดสุกร และความต้องการเนื้อสุกร Read More »

การเลี้ยงไก่เนื้อของโลกปี 2020

        สวัสดีท่านผู้อ่านและติดตามข่าวสารจากทางบริษัท ซีพีเอฟ (ประเทศไทย) จำกัด  เริ่มต้นปีด้วยข่าวสารที่ใกล้ตัว ท่านเกษตรผู้เลี้ยงไก่เนื้อ       ภาพการเลี้ยงไก่เนื้อของโลกในปี2020  นี้  จากข้อมูลการวิเคราะห์ของ RABOBANK  โดย  Mr.Nandirk  Mulder , Senior  animal  protein analyst ได้วิเคราะห์ภาพรวมของธุรกิจไก่เนื้อ ทั่วโลก ในปี 2020 ว่า  ในปีนี้การเลี้ยงไก่เนื้อมีการขยายตัวเล็กน้อย(1-2%)เมื่อเทียบกับปี 2019 ซึ่งเป็นการเติบโตอย่างต่อเนื่องจากปี 2018 ถึง2020 โดยมีแรงขับเคลื่อนที่สำคัญสืบเนื่องจาก ปัญหาโรคระบาด ASF ในสุกร ที่ระบาดในประเทศจีนอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ กันยายน  2018  ทำให้เกิดความต้องการไก่เนื้อเพื่อเป็นอาหารโปรตีนทดแทน เนื้อสุกร ประเทศที่มีการระบาดของ โรค ASF เช่น  จีน ,เวียตนาม ,เกาหลีใต้ และฟิลิปปินส์     จากภาวะของโรคระบาดดังกล่าว ส่งผลให้ราคาไก่เนื้อในส่วนของ น่องและปีก ขยับตัวสูงขึ้น ตลอดจนเนื้อโค ก็เช่นเดียวกัน ประเทศที่มีการส่งออกเพิ่มมากขึ้น  แก่ รัสเซีย ,ยูเครน ,บราซิล ในขณะที่สหรัฐเองก็มีความพยายามที่จะกลับมาส่งออกมายังประเทศจีนเช่นกัน  แต่เนื่องจากทั้งสหรัฐและจีน  ยังคงมีปัญหาเรื่องการค้า และภาษีทางการค้าอยู่ ทำให้สหรัฐเองยังไม่สามารถส่งเนื้อน่องและปีก  เข้าจีนได้  แม้กระนั้นราคาเนื้อน่องและปีกในสหรัฐเองก็ปรับตัวสูงขึ้น 37 – 39 % เมื่อเทียบกับปีก่อน  ส่วนเนื้ออกไม่มีกระดูก  อ่อนตัวเล็กน้อย  จาการที่ทั่วโลกมีการขยายการเลี้ยงไก่เนื้อ เพิ่มขึ้น 1.5%          ในส่วนประเทศบราซิลที่มีการผลิตไก่เนื้อเป็นอันดับต้นๆของโลก มีการขยายการส่งออกไปที่ประเทศซาอุดิอาระเบีย ในปี2019 เพิ่มขึ้นถึง 9% เมื่อเทียบกับปี 2019                จากข้อมูลวิเคราะห์ของทาง RABOBANK คาดการได้ว่า ราคาอาหารโปรตีน เช่นเนื้อไก่และสุกร  จะมีราคาค่อนข้างดี ในปี 2020  นี้  ซึ่งนับว่าเป็นข่าวดีสำหรับผู้เลี้ยงสุกรและผู้เลี้ยงไก่เนื้อในประเทศเช่นเดียวกัน  เพราะถ้าต่างประเทศมีความต้องการมากขึ้น  โอกาสในการส่งออกไก่เนื้อและสุกรของประเทศไทยก็มีมากขึ้น  ซึ่งจะส่งผลให้ราคาในประเทศดีด้วยครับ    

การเลี้ยงไก่เนื้อของโลกปี 2020 Read More »

ก เอ๋ย ก ไก่ ปลอดภัย ไร้ยา

ก เอ๋ย ก ไก่ ปลอดภัย ไร้ยา    คุณเคยผ่านตากับข้อมูลเหล่านี้ไหม ผู้หญิงไม่ควรกินปีกไก่ เพราะเวลาฉีดฮอร์โมนเร่งโตมักจะฉีดที่บริเวณคอหรือปีกไก่ ทำให้มีสารตกค้าง เสี่ยงต่อการเป็นซีสต์ในมดลูก หรือไม่ควรกินเนื้อไก่มากเกินไป เพราะในการเลี้ยงไก่มีการใช้ยาปฏิชีวนะจำนวนมาก ทำให้เกิดพิษตกค้างในตับและไตของมนุษย์ แถมยังทำให้เกิดเชื้อดื้อยาในมนุษย์ด้วย ข้อมูลที่ส่งต่อกันมาเหล่านี้เป็นเรื่องจริงหรือมั่ว ชัวร์หรือไม่ เมื่ออ่านบทความนี้จบ คุณจะพบคำตอบเอง      ไก่ไทย มาตรฐานส่งออก   รู้ไหมเอ่ย…ประเทศไทยส่งออกเนื้อไก่สูงเป็นอันดับ 4 ของโลก ข้อมูลเมื่อ พ.ศ. 2558 ประเทศไทยส่งออกไก่สด ไก่แช่เย็น ไก่แช่แข็ง ไก่แปรรูปรวมๆ แล้วมากถึง  6 แสนตัน คิดเป็นมูลค่าถึง 78,000 ล้านบาท ซึ่งประเทศคู่ค้าสำคัญก็คือ ญี่ปุ่นและสหภาพยุโรป ซึ่งประเทศเหล่านี้มีข้อกำหนดและมาตรฐานด้านความปลอดภัยของอาหารสูงมาก อย่างอียูนั้นมีกฎหมายห้ามใช้ยาปฏิชีวนะและสารเร่งการเจริญเติบโตในไก่เนื้อเพื่อการบริโภคอย่างเด็ดขาดมาร่วม 10 ปี ประเทศไทยจึงต้องมีกฎหมาย กฎระเบียบต่างๆ อย่างเข้มงวดเพื่อรองรับ ทั้งมาตรฐานฟาร์ม มาตรฐานโรงงาน ตลอดจนกระบวนการตรวจสอบรับรอง เพื่อให้เป็นไปตามกฎเกณฑ์ของประเทศคู่ค้า เป็นกฎเหล็กทางกฎหมายที่ไม่มีผู้ประกอบการไก่เนื้อเจ้าใดกล้าละเมิดแน่นอน เพราะมีระบบการตรวจสอบย้อนกลับ หากพบสารต้องห้าม สามารถรู้ได้เลยว่ามาจากประเทศไหน ฟาร์มไหน นั่นอาจหมายถึงการถูกตีกลับ ไปถึงขั้นห้ามนำเข้าไก่เนื้อจากเมืองไทยทั้งหมด ถ้าเป็นแบบนั้นก็งานเข้ากันทั้งประเทศเลยล่ะทีนี้    หน่วยงานหลักของประเทศไทยที่มีบทบาทสำคัญในเรื่องนี้ก็คือ กรมปศุสัตว์ นายสัตวแพทย์สมชวน รัตนมังคลานนท์ ผอ. สำนักพัฒนาระบบและรับรองมาตรฐานสินค้าปศุสัตว์ กรมปศุสัตว์ เคยให้สัมภาษณ์กับรายการชัวร์ก่อนแชร์สำนักข่าวไทยว่า    “ในฐานะที่ผมเป็นสัตวแพทย์และดูแลด้านกระบวนผลิต ผู้บริโภคสบายใจได้ เนื้อไก่ในประเทศไทยไม่มีการใช้สารเร่งแน่นอน การผลิตทุกวันนี้เป็นการผลิตที่เกิดจากการปรับปรุงพันธุ์ การพัฒนาอาหารสัตว์เพื่อให้ไก่เจริญเติบโตได้ดีและไทยเป็นประเทศส่งออกไปขายทั่วโลก ถ้าทำไม่ถูกต้องตามมาตรฐานหรือมีปัญหาเรื่องความปลอดภัย เราก็จะไม่สามารถส่งออกได้ เรื่องที่แชร์กันว่า ไก่ไทยใช้ฮอร์โมนเร่งโตไม่จริงแน่นอน เพราะผิดกฎหมาย”    นอกจากจะผิดกฎหมายแล้ว หากคิดจะฉีดสารเร่งโตกันจริงๆ ตามข้อมูลที่แชร์ต่อกันมาต้องฉีดเป็นรายตัวและฉีดอย่างต่อเนื่อง ลองคิดดูว่าถ้าฟาร์มหนึ่งมีไก่สามสี่หมื่นตัวจะทำอย่างไร ต้นทุนการเลี้ยงจะสูงเกินไป ไม่คุ้มค่าที่จะทำ    ในส่วนประเทศไทย กระทรวงสาธารณสุขได้มีคำสั่งกระทรวงฯ ที่  417/2529  มาตั้งแต่พ.ศ. 2529 (นับนิ้วมาถึงปัจจุบันก็ 31 ปีแล้ว) ประกาศห้ามใช้ยาเฮ็กโซเอสตรอล (Hexoestrol) ซึ่งเป็นยาที่ใช้สำหรับตอนสัตว์ปีกและเป็นฮอร์โมนสำหรับรักษาสัตว์ ซึ่งยาที่ห้ามก็คือ สารเร่งการเจริญเติบโตนั่นเอง จึงเป็นไปไม่ได้เลยที่อุตสาหกรรมไก่เนื้อจะใช้ฮอร์โมนเร่งการเติบโต เพราะผิดกฎหมายชัวร์ๆ และยานี้ห้ามจำหน่ายในประเทศไทย ถ้าอยากใช้ก็ต้องลักลอบนำเข้า     ไก่ปลอดยา คนปลอดภัย สำหรับเรื่องการใช้ยาปฏิชีวนะ ในปัจจุบัน มีกำหนดระเบียบการเลี้ยงสัตว์ตามหลักสวัสดิภาพสัตว์(Animal Welfare) คุ้มครองอยู่คือ ใช้เพื่อรักษาสัตว์ป่วย และใช้อย่างมีเหตุผลเท่านั้น โดยจะต้องอยู่ภายใต้การดูแลควบคุมของสัตวแพทย์ และต้องมีระยะหยุดใช้ยาจนไก่ปลอดภัยจากสารตกค้างจึงจะถูกส่งเข้ากระบวนการแปรรูปต่อไป แถมก่อนส่งออกจะต้องผ่านการตรวจสอบและรับรองว่าปลอดภัยจากเชื้อดื้อยาจากกรมปศุสัตว์ เพราะประเทศไทยและประเทศคู่ค้าอย่างสหภาพยุโรป (อียู) ญี่ปุ่น ตะวันออกกลาง มีข้อตกลงร่วมกันในเรื่องระบบการป้องกันการใช้ยาปฏิชีวนะและการตรวจสอบสารตกค้างในอาหาร     แต่ถ้าจะทำให้ไก่ปลอดยาปฏิชีวนะตลอดกระบวนการเลี้ยงเลยล่ะ จะทำได้ไหม     ทำได้สิเพราะหัวใจหลักของการไม่ใช้ยาปฏิชีวนะต้องย้อนกลับมาที่พื้นฐานที่สุด ก็คือ “ทำอย่างไรให้สัตว์แข็งแรง ไม่เจ็บป่วย” (ไม่ต่างจากคน ไม่ป่วยก็ไม่ต้องกินยา)    หลักการเลี้ยงไก่ให้ปลอดยาปฏิชีวนะนั้น ต้องมีการควบคุมตลอดกระบวนการผลิต เริ่มกันตั้งแต่ต้นทางที่เกษตรกรคัดแยกลูกไก่จากฟาร์มพ่อแม่พันธุ์ที่ไม่มีปัญหาสุขภาพ มีอายุไข่ที่เหมาะสม มีการฆ่าเชื้อไข่ฟัก การจัดการโรงฟักที่ดี จนถึงการบริหารจัดการไก่ภายในโรงเรือนก็เป็นปัจจัยสำคัญ คือต้องมีระบบป้องกันโรค (Biosecurity) ที่เข้มงวด ต้องล้างทำความสะอาดและฆ่าเชื้อโรงเรือนก่อนนำไก่เข้าเล้า ตรวจสอบเชื้อโรคที่ปนเปื้อนมากับแกลบหรือวัสดุที่ใช้รองพื้นเล้า ระหว่างการเลี้ยงก็ต้องดูแลให้อุณหภูมิในโรงเรือนมีความเหมาะสมและทั่วถึงไก่ทุกตัว  มีการเก็บอาหารสัตว์ในที่มิดชิด ป้องกันสัตว์และสิ่งปนเปื้อน รวมถึงมีระบบการตรวจสอบที่เข้มงวดอย่างสม่ำเสมอ   “หัวใจสำคัญของการเลี้ยงไก่ปลอดการใช้ยาปฏิชีวนะ  เริ่มจากเกษตรกรจะต้องเพิ่มการดูแลไก่ในโรงเรือนอย่างใกล้ชิดมากขึ้น โดยไม่ละเลยข้อปฏิบัติเล็กๆ น้อยๆ เพื่อป้องกันการติดเชื้อและการปนเปื้อนทุกอย่างอย่างเข้มงวด” นายสัตวแพทย์นรินทร์ ร่มลำดวน รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส สำนักเทคนิคและวิชาการสัตว์บก บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือซีพีเอฟ เล่าถึง “โครงการนำร่องเลี้ยงไก่ไม่ใช้ยาปฏิชีวนะ” ซึ่งซีพีเอฟดำเนินการมาตั้งแต่พ.ศ. 2557 ปัจจุบันโครงการนี้ประสบผลสำเร็จน่าพอใจ จึงนำความรู้ชุดนี้มาเผยแพร่สู่เจ้าหน้าที่และเกษตรกรในโครงการส่งเสริมอาชีพเกษตรกร รายย่อย (Contract Farming) ให้นำหลักการเลี้ยงไก่ปลอดยาปฏิชีวนะไปใช้ได้ทุกฟาร์ม โดยมีเป้าหมายให้ฟาร์มทุกแห่งทั่วประเทศปลอดการใช้ยาปฏิชีวนะได้ภายในพ.ศ. 2561    ถ้าสามารถป้องกันอย่างเข้มงวดไม่ให้ไก่มีโอกาสเสี่ยงต่อการติดเชื้อ ก็ไม่จำเป็นต้องใช้ยาปฏิชีวนะ และไก่สามารถดำรงสุขภาพอย่างแข็งแรงได้ตั้งแต่ฟักเป็นตัว กระทั่งเข้าสู่โรงงานแปรรูป จนถูกเสิร์ฟบนโต๊ะอาหาร “บริษัทฯ จะนำความสำเร็จของโครงการนี้ เป็นแนวทางปฏิบัติกับธุรกิจเลี้ยงไก่เนื้อในทุกประเทศที่บริษัทไปลงทุน เพื่อยกระดับมาตรฐานอุตสาหกรรมไก่เนื้อให้สูงขึ้น และเป็นที่ยอมรับและมั่นใจของผู้บริโภคทั่วโลก”     นายสัตวแพทย์นรินทร์ย้ำจุดหมายปลายทาง ซึ่งหมายความว่าไอเดียของคนไทย บริษัทไทย จะกลายเป็นต้นแบบการเรียนรู้ให้กับประเทศอื่นๆ ด้วย ซึ่งบรรทัดสุดท้ายของความสำเร็จนี้  ก็เพื่อส่งต่อสุขภาพที่ดีผ่านอาหารที่ปลอดภัย (Food Safety) ให้กับผู้บริโภคคนไทยและคนทั่วโลกนั่นเอง    กะเพราไก่ ไก่ย่าง ไก่ทอด ลาบไก่ ยำไก่ ไก่เทอริยากิ ฯลฯ แค่คิดก็หิวแล้ว     เมื่อมาถึงบรรทัดนี้ข้อควรระวังของการบริโภคไก่ คงไม่ใช่เรื่องสารเร่งโตหรือสารปฏิชีวนะตกค้าง แต่น่าจะเป็นเรื่องการกินอาหารให้สมดุล กินหลากหลาย ครบทุกหมู่ กินผักบ้าง และอย่ากินมากเกินไป เดี๋ยวอ้วน นะเออ    

ก เอ๋ย ก ไก่ ปลอดภัย ไร้ยา Read More »

ซีพีเอฟ มุ่งพัฒนาสวัสดิภาพสัตว์

ซีพีเอฟ มุ่งพัฒนาสวัสดิภาพสัตว์ ปรับปรุงฟาร์มแม่พันธุ์สุกรสู่มาตรฐานโลก เมื่อ : 2019-03-12    บริษัทเจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ มุ่งปรับปรุงฟาร์มแม่พันธุ์สุกรอุ้มท้อง ให้สอดคล้องตามหลักสวัสดิภาพสัตว์ระดับโลก โดยตั้งเป้า 100% ของฟาร์มสุกรแม่พันธุ์อุ้มท้องเป็นระบบการเลี้ยงแบบคอกขังรวมภายในปี 2568 สำหรับกิจการในประเทศไทย และปี 2571 สำหรับกิจการในต่างประเทศ    น.สพ.ดำเนิน จตุรวิธวงศ์ รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส ซีพีเอฟ กล่าวว่า การปรับปรุงฟาร์มแม่พันธุ์เป็นไปตามนโยบายสวัสดิภาพสัตว์ของซีพีเอฟ ซึ่งได้ประกาศใช้กับกิจการของบริษัททั่วโลก เมื่อเดือนเมษายน ปี 2561 เพื่อให้สัตว์มีสุขภาพแข็งแรง ปราศจากความเครียด เคลื่อนไหวได้อย่างอิสระและแสดงพฤติกรรมตามธรรมชาติได้ตามหลักอิสรภาพสัตว์ 5 ประการ (Five Freedoms of Animals) ซึ่งในปัจุบันบริษัทมีการปรับปรุงฟาร์มแม่พันธุ์สุกรอุ้มท้องในประเทศเพิ่มขึ้นจาก 24% ในปี 2560 เป็น 32% เมื่อปีที่แล้ว    น.สพ.ดำเนิน เสริมว่าการปรับปรุงฟาร์มแม่พันธุ์ตามหลักสวัสดิภาพในครั้งนี้ นอกจากจะทำให้สัตว์มีความเป็นอยู่ที่ดี ตามหลักมนุษยธรรมแล้ว ยังสามารถช่วยลดการใช้ยาต้านจุลชีพในสัตว์ได้อีกด้วย    ซีพีเอฟ เป็นองค์กรที่ทำฟาร์มปศุสัตว์และผลิตอาหารด้วยความรับผิดชอบ การประกาศนโยบายสวัสดิภาพสัตว์ ควบคู่ไปกับวิสัยทัศน์ระดับโลกด้านการใช้ยาต้านจุลชีพในสัตว์ จะช่วยให้บริษัทสามารถผลิตอาหารปลอดภัย ตามหลักมนุษยธรรม และมีคุณภาพดีสำหรับทุกๆคน” น.สพ.ดำเนิน กล่าวย้ำ    น.สพ.ดำเนิน กล่าวว่า นอกจากการปรับปรุงฟาร์มสุกรแม่พันธุ์แล้ว บริษัทฯ ได้ดำเนินการหลายด้านเพื่อบริหารสิ่งแวดล้อมในฟาร์มระบบปิดให้ใกล้เคียงธรรมชาติตามมาตรฐานสากล ลดความเครียดของสัตว์ทำให้สัตว์แข็งแรงไม่ป่วย อย่างไรก็ตามเมื่อสัตว์ป่วย ยังจำเป็นต้องให้การรักษาตามหลักสวัสดิภาพสัตว์ ซึ่งสัตว์ที่ป่วยจะถูกแยกออกมาทำการรักษาในที่ที่จัดไว้ เพื่อให้มั่นใจว่าสัตว์ในฟาร์มมีสุขภาพดี “ฟาร์มเลี้ยงสุกรทั้งหมดของบริษัทได้รับการปรับปรุงให้เป็นโรงเรือนระบบปิดควบคุมอุณหภูมิด้วยการระเหยของน้ำ (EVAP) ซึ่งนอกจากจะช่วยลดความเสี่ยงจากการเกิดโรคแล้ว ยังทำให้สัตว์อยู่สุขสบาย ลดความเครียด” น.สพ.ดำเนิน อธิบาย    นโยบายสวัสดิภาพสัตว์ของ ซีพีเอฟ ยังครอบคลุมสัตว์ปีก โดยทำการศึกษาเพื่อพัฒนาฟาร์มไก่ไข่บริษัทในประเทศไทย ไปสู่ระบบการเลี้ยงแบบปล่อยในโรงเรือน (cage free) ตลอดจน ฟาร์มไก่เนื้อทุกประเทศจะมีเจ้าหน้าที่สวัสดิภาพสัตว์ปีก (Poultry Welfare Officer) ในปี 2563 ส่วนฟาร์มไก่เนื้อในประเทศไทยทั้งหมดเป็นระบบการเลี้บงตามหลักการสวัสดิภาพสัตว์ ตั้งแต่ปี 2543    ในปีที่ผ่านมา ซีพีเอฟ เป็นบริษัทผู้ผลิตอาหารไทยเพียงหนึ่งเดียว จาก 150 บริษัทชั้นนำทั่วโลกที่ได้ร่วมการประเมิน รายงานมาตรฐานด้านการดำเนินธุรกิจตามหลักสวัสดิภาพสัตว์ หรือ The Business Benchmark on Farm Animal Welfare Report ซึ่งเป็นรายงานด้านสวัสดิภาพสัตว์ในอุตสาหกรรมอาหารที่ได้รับความเชื่อถือจากผู้บริโภค และนักลงทุนทั่วโลก โดยบริษัทได้ถูกจัดอันดับให้อยู่ในระดับที่ 4 มีการปฏิบัติตามนโยบายสวัสดิภาพสัตว์ (Tier 4 Making progress on implementation)

ซีพีเอฟ มุ่งพัฒนาสวัสดิภาพสัตว์ Read More »

12 ขั้นตอนเลี้ยงไก่เนื้อมาตราฐานบริษัท

12 ขั้นตอน เลี้ยงไก่เนื้อมาตรฐานบริษัท      ไก่เนื้อในปัจจุบันมีการเจริญเติบโตอย่างรวดเร็วและมีอัตราการเปลี่ยนอาหาร (Feed conversion ratio : FCR) ดีขึ้นตามลำดับ ดังนั้นขั้นตอนการเลี้ยงและการบริหารจัดการฟาร์มไก่เนื้อให้ได้ผลผลิตดีและมีคุณภาพ ตามมาตรฐานฟาร์มของบริษัทใหญ่ที่เลี้ยงแบบเข้าออกพร้อมกันทั้งหมด (All in – all out) มีอะไรบ้าง พอจะสรุปให้เข้าใจได้ดังนี้ โดยเริ่มจากการเข้าสู่การพักโรงเรือน (Down time) หรือที่เราเรียกกันว่า “พักเล้า” อย่างน้อย 7-14 วัน หรืออาจใช้ระยะเวลามากกว่านั้น ซึ่งขึ้นอยู่กับบริษัทที่เป็นคอนแทรคฟาร์มด้วย สำหรับวิธีการนี้ส่งผลดีกับผู้บริโภคเป็นอย่างมาก แต่สำหรับผู้เลี้ยงหรือผู้ดูแลฟาร์มอาจต้องเหนื่อยมากหน่อย…แต่คุ้ม 1. จัดการนำวัสดุรองพื้นเก่า (มูลไก่ที่ผสมแกลบ) ออกจากโรงเรือน 2. ทำความสะอาดฆ่าเชื้อโรคภายในและภายนอกโรงเรือน อุปกรณ์ต่างๆ ที่ใช้ให้สะอาด เช่น อุปกรณ์ให้น้ำ ให้อาหาร ผ้าม่าน ฯลฯ พร้อมเก็บตัวอย่างไปตรวจวิเคราะห์หาเชื้อโรค เพื่อป้องกันและควบคุมการเกิดโรคระบาด 3. จัดการนำวัสดุรองพื้น (แกลบ) ที่สะอาดเข้าโรงเรือน โดยปูวัสดุรองพื้นให้มีความหนาประมาณ 3-4 นิ้ว (8-10 เซนติเมตร) ขั้นตอนนี้ต้องมีการตรวจวิเคราะห์ความสะอาดของแกลบทุกครั้ง 4. เกลี่ยแกลบให้เต็มพื้นที่โรงเรือน และเตรียมอุปกรณ์การเลี้ยงให้พร้อม รวมถึงการทำใบขออนุญาตลงไก่ที่สำนักงานปศุสัตว์ในพื้นที่ด้วย 5. เลี้ยงไก่ตามโปรแกรมพร้อมติดตามผล 24 ชม. จนครบระยะเวลาการเลี้ยงหรือตามน้ำหนักที่บริษัทกำหนด ซึ่งจะมีน้ำหนักตั้งแต่ 1.3-2.8 กิโลกรัม หรือเลี้ยง 28-60 วัน 6. ก่อนจับไก่ออกจากโรงเรือนต้องเก็บตัวอย่างไปตรวจ เพื่อหาเชื้อไข้หวัดนก (สำนักงานปศุสัตว์ในพื้นที่) รอผลแลปประมาณ 7-10 วัน ก่อนจับ เพื่อนำไปประกอบกับใบอนุญาตเคลื่อนย้าย 7. มีการตรวจงานฟาร์ม (ออดิท) ตามมาตรฐานของบริษัทใหญ่ คิดเป็นคะแนน 10% 8. เก็บตัวอย่างมูลไก่ตรวจหาเชื้อซัลโมเนลลาก่อน เพื่อจัดคิวเข้าโรงเชือด 9. สุ่มชั่งน้ำหนักหาค่าเฉลี่ยของตัวไก่ก่อนเข้าเชือด เพื่อการประมาณรถบรรทุกไก่ใหญ่ มีค่าวิเคราะห์ความแม่นยำ คิดเป็นคะแนน 20% 10. ทำใบเคลื่อนย้ายสัตว์ ร.1 และรอใบอนุญาต ร.4 จากสำนักงานปศุสัตว์ในพื้นที่ 11. จับไก่ออกจากโรงเรือนแล้ว รอผลน้ำหนักหน้าโรงงาน สรุปการ์ดหน้าเล้า โดยค่า pi (ประสิทธิภาพการเลี้ยง) มีน้ำหนักการนำไปจัดเกรดฟาร์ม อีก 35% และบวกกับคะแนนการตกราวอีก 25% อีก 10% คือ คะแนน bio 2 = การสุ่มตรวจฟาร์มแบบไม่มีการนัดหมายล่วงหน้า 12. รอสรุปบัญชี ภายใน 14 วันหลังจับไก่

12 ขั้นตอนเลี้ยงไก่เนื้อมาตราฐานบริษัท Read More »

ฟาร์มหมู ซีพีเอฟ อยู่สบาย สไตล์รีสอร์ท

ฟาร์มหมูซีพีเอฟ อยู่สบาย สไตล์รีสอร์ท ปลอดโรค ปลอดกลิ่น อยู่ร่วมกับชุมชนอย่างยั่งยืน ระบบการเลี้ยงหมูสมัยใหม่ของซีพีเอฟ ซึ่งมีแนวคิดการยกรีสอร์ทมาไว้ที่ฟาร์มของบริษัท ด้วยระบบการเลี้ยงที่ทันสมัย การดูแลอย่างใส่ใจ ใกล้ชิด ให้อยู่สบาย มีความสุข และสุขภาพแข็งแรงตลอดช่วงเวลาที่อยู่ในฟาร์ม อีกทั้งยังควบคุมด้านสิ่งแวดล้อม ลดภาวะโลกร้อน และผลกระทบต่อชุมชนอีกด้วยค่ะ ปลอดเชื้อ ปลอดภัย ตั้งแต่ก้าวแรก ฟาร์มสุกรทั้งหมดของซีพีเอฟเป็นการเลี้ยงด้วยระบบ Biosecurity ซึ่งเป็นระบบการป้องกันเชื้อโรคตั้งแต่ก่อนเข้าสู่ฟาร์ม เช่น ระบบโรงเรือนปิดที่ทำความเย็นด้วยการระเหยของน้ำ หรือ ระบบ Evaporative Cooling System (EVAP) มีระบบฆ่าเชื้อรถขนส่ง และทุกคนที่เข้า-ออก ฟาร์ม รวมถึงกำหนดจุดส่งมอบสินค้าแยกจากฟาร์ม เป็นต้น นอกจากนี้ ซีพีเอฟยังได้ถ่ายทอดความรู้เรื่องระบบ Biosecurity ให้กับเกษตรกรในคอนแทรคฟาร์มของบริษัททั่วประเทศครบทุกราย จึงมั่นใจได้ว่าหมูของซีพีเอฟ สะอาด ปลอดภัย ได้มาตรฐานสากล เลี้ยงหมูอย่างใส่ใจ ให้อยู่สบาย การเลี้ยงหมูของบริษัทจะถูกเลี้ยงดูอย่างดี ในโรงเรือนระบบปิดที่สามารถควบคุมอุณหภูมิ สภาพอากาศ ความชื้น ให้เหมาะสมกับสุกรแต่ละช่วงวัย รวมถึงให้ความสำคัญกับการเลี้ยงดูสัตว์ที่สอดคล้องตามหลักอิสระ 5 ประการ (Five Freedom of Animal Welfare) ช่วยให้หมูมีสุขภาพแข็งแรง ไม่เครียด ไม่ป่วย อันได้แก่ 1. ปราศจากความหิวและกระหาย 2. ปราศจากความไม่สะดวกสบาย 3. ปราศจากความเจ็บปวด บาดเจ็บ และโรคภัย 4. มีอิสระที่จะแสดงออกทางพฤติกรรมตามธรรมชาติและ 5. ปราศจากความกลัวและความทุกข์ทรมาน เพื่อให้หมูที่เลี้ยงสามารถแสดงพฤติกรรมตามธรรมชาติ Green Farm อยู่ร่วมกับชุมชนอย่างยั่งยืน ซีพีเอฟให้ความสำคัญกับการเป็นส่วนหนึ่งของชุมชน ตามมาตรฐานฟาร์มสีเขียว โดยนำเทคโนโลยีมาสนับสนุนการเลี้ยง ตั้งแต่ การเลี้ยงสุกรในโรงเรือนระบบปิด , การใช้ระบบไบโอแก๊ส ช่วยบำบัดของเสียจากการเลี้ยง ที่ถือเป็นเทคโนโลยีที่ช่วยลดภาวะโลกร้อน อีกทั้งนำมาผลิตไฟฟ้าเพื่อใช้ในฟาร์ม , ระบบการฟอกอากาศท้ายโรงเรือน กำจัดกลิ่นและแมลงวันที่จะไปรบกวนชุมชน , การบริหารจัดการน้ำอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด รวมไปถึงการปรับฟาร์มให้มีภูมิทัศน์ที่สวยงาม นอกจากนี้ ฟาร์มสุกรของบริษัทยังมีการปันน้ำที่ผ่านการบำบัดจากระบบผลิตก๊าซชีวภาพส่งให้ชุมชนโดยรอบ เพื่อนำไปใช้เพื่อการเกษตร เป็นการบรรเทาผลกระทบจากช่วยชุมชนและเกษตรกรฝ่าวิกฤติภัยแล้ง

ฟาร์มหมู ซีพีเอฟ อยู่สบาย สไตล์รีสอร์ท Read More »

เว็บไซต์นี้มีการจัดเก็บคุกกี้เพื่อมอบประสบการณ์การใช้งานเว็บไซต์ให้แก่ท่านได้ดียิ่งขึ้น รวมถึงทำให้สามารถมอบข้อเสนอ กิจกรรมส่งเสริมการขาย เลือกเนื้อหาให้เหมาะสมแก่ท่านอย่างเป็นส่วนตัวได้ การเก็บและใช้งานคุกกี้สามารถศึกษาได้ที่นโยบายการใช้คุกกี้นี้ การใช้งานเว็บไซต์นี้จะมีการจัดเก็บคุกกี้ประเภทต่าง ๆ ซึ่งท่านต้องยอมรับและยินยอมให้บริษัทฯ จัดเก็บ. (เรียนรู้เพิ่มเติม)